News
JSL Global Media เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย เป็นบริษัทผลิตสื่อโทรทัศน์คู่คนไทยมาอย่างยาวนานกว่า 43 ปี แต่ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมของคนดูก็เปลี่ยนไป เกิด Digital Disruption จนทำให้ต้องประกาศปิดกิจการลง
สิ่งหนึ่งที่สำคัญเมื่อเกิดเหตุกราดยิงในที่สาธรณะ (Public Mass Shooting) นอกจากการเข้าควบคุมสถานการของเจ้าหน้าที่ ณ จุดเกิดเหตุแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลอย่างมากก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นบน Social Media เมื่อปี 2019 มีกรณีศึกษาที่สำคัญจากเหตุการณ์ที่ Christchurch ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งผู้ก่อเหตุได้ใช้ Facebook Live ในการแพร่ภาพความรุนแรงไปทั่วโลก คลิปดังกล่าวถูกลบใน 29 นาที แต่ 29 นาทีบนอินเทอร์เน็ตนั้นยาวนานกว่าที่คิด มีการเผยแพร่ภาพซ้ำความรุนแรกนั้นไปมากกว่า 1.2 ล้านครั้ง
เมื่อพูดถึง Voice TV หลายคนก็อาจจะนึกถึงทหารไปปิด ม็อบไปบุก นักข่าวโดนอุ้ม หรือรางวัลโทรทัศน์จอดำ แต่หนึ่งในสิ่งที่เรียกได้ว่าน่าหยิบยกมาพูดคุยกันก็คือเรื่องการทำคอนเทนต์ออนไลน์แบบวิดีโอที่เป็นเอกลักษณ์และเริ่มมีความหลากหลายเป็นอย่างมากในช่วงหลัง ๆ นี้ ใครที่ติดตามข่าวสารวงการทีวีไทย ก็อาจจะจำได้ว่า Voice TV เป็นหนึ่งในช่องทีวี ที่ประกาศคืนใบอนุญาตกับทาง กสทช. และหันมาผลิตรายการทีวีบนช่องเคเบิล และทำออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ ปิดตำนานรางวัลโทรทัศน์จอดำ (เพราะไม่ออกแล้ว)
ก่อนหน้านี้เราเคยนำเสนอบทความเรื่อง ข้อสงสัยเด็กไทย อยากเป็น Blogger, Youtuber, Game Caster อาชีพ เรียนคณะอะไรดี ซึ่งพูดถึงมุมองของนักเรียนว่าถ้าอยากทำงานในสายสื่อปัจจุบัน ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ จะต้องเรียนคณะไหน ซึ่งก็มีการกล่าวถึงคณะนิเทศศาสตร์ ณ ปัจจุบันบอกว่า เวลาแค่ 4 ปีในมหาลัยที่เหมือนสั้น อาจจะยาวนานพอที่จะทำให้ Trend ใน Trend นึงในการทำคอนเทนต์หายไปเลยก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่เราน่าจะเก็บเกี่ยวคือทักษะและกระบวนการคิดที่สามารถนำไปต่อยอดได้ มากกว่าวิธีการ
ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้เจอประเด็นหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเกมแคสเตอร์ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรงในหมู่เยาชน หรือการนำเสนอประเด็นที่สุดท้ายกลายเป็นการสร้างหรือกระตุ้นความเกลียดชังจนเกิดสถานการวุ่นวายบนโลกแห่งความจริงนอกจอ เวลาที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ความรับผิดชอบก็จะถูกโยนให้เป็นหน้าที่ของผู้รับข่าว หรือ Audience เอง ว่าไม่มีการแยกแยะ หรือมีพฤติกรรมที่ถูกชักจูงโดยปัจจัยอื่นที่เหนือการคิดวิเคราะห์ของตน
ถ้าเราจะเขียน พูด หรือบอกเล่าเรื่องราวอะไรซักเรื่องลงบนอินเทอร์เน็ต เราจะต้องทำอย่างไร ต้องหาข้อมูล ต้องเช็คความถูกต้องของข้อมูล ต้องดูว่าคนดูจะชอบไหม ต้องดูว่ากระแสตอบรับในเรื่องนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างหากลงไป ต้องดูตัวอย่างจากคนอื่น อะไรเต็มไปหมด ในกระบวนการก่อนที่จะได้มาซึ่งคอนเทนต์ อย่างไรก็ตามแม้ว่าคอนเทนต์นั้นจะมีที่มาอย่างไร สุดท้ายแล้วเราสามารถแบ่งมันออกได้เป็น 2 แบบ ได้แก่ ข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็น
ทุกวันนี้หนึ่งสิ่งเกี่ยวกับวงการ Social Media และ Journalism ที่เราได้เห็นกันก็คือ Social Media พยายามทำตัวให้เป็น Social Media มากขึ้น ไม่รวมพวกข่าวต่าง ๆ เข้าไป หรือถ้ามีก็จะอยู่ใน Section แยกพิเศษออกมาเหมือนกับที่ Facebook เองพยายามทำ Facebook News เพราะไม่ต้องการให้หน้า Feed ปกติที่ใช้อัลกอริทึม ทำให้เกิด Echo Chamber ในการเสพข่าวของผู้ใช้งาน
ช่วงนี้ใครที่ติดตามทั้ง The Standard และสื่อออนไลน์, ออฟไลน์ของคมชัดลึก อาจจะเห็นผ่าน ๆ ตาว่ามีข้อพิพาทกันระหว่างสองสื่อที่มีผู้ติดตามอยู่หลักล้านและเป็นที่สนใจของคนทั่วไป ซึ่งสุดท้ายก็จบลงด้วยการขอโทษออกสื่อและยอมรับผิด แต่สิ่งที่กระทำไปนั้นไม่สามารถเรียกย้อนกลับคืนมาแก้ไขได้
เป็นเรื่องที่พูดแล้วอาจจะดูไม่แปลกอะไร เพราะทุกวันนี้เราชินกับข่าวที่มีการใส่ความคิดเห็น และคำที่เป็นการแสดงความรู้สึกกันเป็นเรื่องปกติ แต่นั่นก็เป็นแค่ความรู้สึก ยังไม่มีการวัดอย่างแท้จริงถึงเชิงปริมาณของมัน แต่งานวิจัยล่าสุดจาก RAND ได้นำข่าวจากฐานข้อมูลตั้งแต่ปี 1989 ของประเทศสหรัฐอเมริกามาวิเคราะห์ โดยลงลึกไปในระดับภาษาศาสตร์ (linguistic) พบว่าข่าวทุกวันนี้ มีแนวโน้มจะมีความเป็นอัตวิสัยมากขึ้น
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า