รู้หรือไม่? ผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการดูคอนเทนต์ประเภทวิดีโอถึง 17 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทำให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมนี้ ไม่ว่าจะเป็น Instagram, Facebook, TikTok และ YouTube ที่มีการเพิ่มฟีเจอร์ต่าง ๆ เพื่อรองรับคอนเทนต์ประเภทวิดีโอมากขึ้น
โดยเฉพาะแพลตฟอร์มที่เน้นคอนเทนต์วิดีโออย่าง YouTube และ TikTok ที่มีการเพิ่มฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น YouTube Shorts เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ที่มีแนวโน้มจะสนใจวิดีโอแบบ Short-form มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มเวลาลงคลิปวิดีโอได้สูงสุด 60 นาทีบน TikTok เพื่อให้ครีเอเตอร์สามารถเลือกลงคอนเทนต์ที่หลากหลายขึ้น
อย่างไรก็ตามแต่ละแพลตฟอร์มก็มีเอกลักษณ์ และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสมกับคอนเทนต์จึงเป็นส่ิงสำคัญ เพราะนอกจากจะทำให้เราสามารถสร้างการรับรู้ให้กับผู้ใช้เฉพาะกลุ่มแล้ว ยังเพิ่มโอกาสที่จะสร้างรายได้จากคอนเทนต์ของเรามากขึ้นอีกด้วย
สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง หรือควรลงคอนเทนต์วิดีโอของเราที่แพลตฟอร์มไหน วันนี้ RAiNMaker ได้สรุปเคล็ดลับ และความแตกต่างของวิดีโอบน 2 แพลตฟอร์มทั้ง YouTube และ TikTok มาให้ทุกคน ตามนี้!

รูปแบบคอนเทนต์ (Content Format)
- YouTube: เหมาะกับคลิปยาว (Long-form Content) ที่มักจะมีความยาวเฉลี่ยประมาณ 11 นาที
- TikTok: เหมาะกับคลิปสั้น (Short-form Content) ที่มักจะยาวเฉลี่ยเพียง 43 วินาทีเท่านั้น โดยคลิปที่มีความยาวประมาณ 35 วินาทีจะได้รับผลตอบรับดีที่สุดบนแพลตฟอร์ม
ถึงแม้ว่า YouTube จะมี YouTube Shorts สำหรับคอนเทนต์สั้น และ TikTok จะสามารถอัปโหลดวิดีโอได้ยาวถึง 60 นาที แต่การสร้างคอนเทนต์ให้เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม ไม่ใช่แค่การตัดวิดีโอยาวมาลงในแพลตฟอร์มคลิปสั้นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้ช่องของเราเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
สไตล์คอนเทนต์ (Content styles)
- YouTube: ตอบโจทย์สำหรับครีเอเตอร์ที่ต้องการทำวิดีโอที่มีรายละเอียด หรือคุณภาพสูง และมีการตัดต่อเป็นขั้นเป็นตอน สำหรับเน้นไปที่เนื้อหาแบบเชิงลึก นอกจากนี้การลงวิดีโอในแพลตฟอร์มนี้จะให้ความรู้สึกถึงความเป็นมืออาชีพอีกด้วย
- TikTok: ตามพฤติกรรมของผู้ใช้จะชอบดูคอนเทนต์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องผ่านการตัดต่อมากมาย ทำให้ครีเตอร์สามารถถ่ายทำ และตัดต่อภายในแอปโดยตรง ซึ่งจะทำให้สามารถลดขั้นตอนการทำงาน รวมถึงได้คลิปที่ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด และรวดเร็ว
การสร้างรายได้ (Revenue models)
YouTube
- รายได้จากโฆษณา (Ad Revenue) ที่แสดงในวิดีโอ
- รายได้จากสมาชิก (Channel Membership) รวมถึง Super Chats และ Super Stickers เมื่อเปิดไลฟ์สตรีมมิง
- รายได้จาก Super Thanks สำหรับคอมเมนต์ในวิดีโอสำหรับ Creator Studio
- การเปิดร้านค้าในแพลตฟอร์มเพื่อวางขายสินค้า หรือ Merchadise ของช่อง
TikTok
- ไลฟ์สตรีมมิงเพื่อรับของขวัญ (Virtual Gifts) ระหว่างไลฟ์สด
- เข้าร่วม Affiliate Program เพื่อติดตระกร้าลงในวิดีโอ
- เปิดร้านขายสินค้าผ่าน TikTok Shop รับรายได้โดยตรง
- เป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์ และหาสปอนเซอร์ซัปพอร์ตช่อง
กลุ่มเป้าหมาย (Target audiences)
- YouTube: ผู้ส่วนใหญ่มีช่วงอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 25-34 ปี คิดเป็น 21.5% ของผู้ใช้งานทั้งหมด และผู้ชายมีสัดส่วนมากกว่าอยู่ที่ 56.6%
- TikTok: ผู้ใช้ส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 10-19 ปี คิดเป็น 25% ของผู้ใช้งานทั้งหมด และกว่า 56.8% เป็นเพศหญิง
อย่างไรก็ตามเราจะต้องศึกษา และวิเคราะห์ผู้ใช้งานจากการดูหลังบ้าน เพราะแต่ละช่องก็จะมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไป ซึ่งส่งผลต่อการโพสต์คอนเทนต์ในช่องของเรา
อัลกอริทึม (Algorithms)
- YouTube: ส่วนใหญ่จะแนะนำวิดีโอจากช่องที่ผู้ใช้ติดตาม โดยอ้างอิงจากพฤติกรรมการรับชม และรูปแบบคอนเทนต์ที่ผู้ใช้สนใจ ทำให้การเติบโตบนแพลตฟอร์มนี้จะเน้นไปที่การสร้างฐานแฟนคลับที่จะนำไปสู่การสร้างคอมมูนิตี้ต่อไป
- TikTok: อัลกอรึทึมของแพลตฟอร์มนี้เน้นการแสดงคอนเทนต์จากครีเอเตอร์ที่เราไม่ได้ติดตาม แต่จะแนะนำคอนเทนต์ตามสิ่งที่เราสนใจ รวมถึงเน้นคอนเทนต์ที่เป็นไวรัล และแผ่นเสียงที่เรากดเข้าชมบ่อย ๆ ทำให้วิดีโอของเรามีโอกาสเข้าถึงผู้ใช้ทั่วไปได้สูงกว่า
สรุปได้ว่าหากต้องการให้ตอนเทนต์ไวรัล และเข้าถึงผู้ใช้กลุ่มใหม่ได้ในเวลาสั้น ๆ TikTok จะตอบโจทย์พฤติกรรมแบบนี้มากกว่า ในขณะที่ YouTube จะเหมาะกับการสร้างฐานแฟนคลับในระยะยาว และเน้นคอนเทนต์ที่เฉพาะกลุ่ม
สำหรับแบรนด์และครีเอเตอร์ที่สนใจทำคอนเทนต์วิดีโอ สามารถนำเคล็ดลับ รวมถึงแนวทางของแต่ละแพลตฟอร์ม ไปปรับใช้ให้เหมาะสม เพื่อเข้าถึงผู้ชมได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย และปรับใช้สำหรับการทำคอนเทนต์ให้ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ