
เพราะคอนเทนต์ออนไลน์หมุนเร็ว และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ครีเอเตอร์ต้องมีเส้นทางที่จะยืนระยะอย่างยั่งยืนแตกต่างกันออกไป บางคนเลือกวิ่งตามกระแสเพื่อให้ทันเทรนด์ ในขณะที่บางคนเลือกที่จะสร้างตัวตนให้เป็นเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ แต่ไม่ว่ารูปแบบไหนสิ่งสำคัญคือ การรักษาความสัมพันธ์กับผู้ชม รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับบริบทที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในครีเอเตอร์ที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างชัดเจนคือ คุณยอร์ช-สรศาสตร์ วิเศษสินธุ์ จาก Gluta Story ที่จะมานำเสนอตัวตนผ่านจุดเริ่มต้นจากการสร้างสรรค์คอนเทนต์ด้วยความรักจนเติบโตเป็นคอมมูนิตี้ที่เหนียวแน่น และในวันที่มีคู่แข่งมากมาย อะไรคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Gluta Story ยังคงอยู่ในใจผู้ชมมาอย่างยาวนาน
จุดเริ่มต้นของเส้นทาง ‘Gluta Story’
“ช่วงนั้นกระแส Photobook ของญี่ปุ่นกำลังเป็นที่นิยม ทำให้เราอยากทำให้กลูต้าบ้าง” คุณยอร์ชเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของช่อง Gluta Story ที่ตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จักความน่ารักของเหล่าเด็ก ๆ ในช่องที่ผลัดกันมาสร้างมีม และรอยยิ้มให้ผู้ชมได้มีความสุขตาม ๆ กัน
“ในช่วงแรกของการเริ่มทำคอนเทนต์ ยังไม่มีทีมงานแบบในทุกวันนี้ทำให้ต้องเริ่มทุกอย่าง และทำทุกกระบวนการสร้างสรรค์ด้วยตัวเอง” อย่างไรก็ตามในยุคแรกของการเป็นครีเอเตอร์ คุณยอร์ชมองว่าไม่ได้รู้สึกมีอุปสรรคมากนัก เนื่องจากการแข่งขันยังไม่สูง ทำให้เข้าถึงผู้ชมได้ง่าย และสร้างฐานแฟนคลับได้อย่างรวดเร็ว
ความท้าทายในการเป็นครีเอเตอร์
คุณยอร์ชเล่าว่าตอนนี้ทีม Gluta Story เติบโตไกลจากจุดเริ่มต้นมาก ซึ่งหมายความว่าความรับผิดชอบก็ต้องเพิ่มตามมาด้วย โดยเฉพาะในยุคที่มีครีเอเตอร์หลากหลายในแต่ละหมวดคอนเทนต์ และพฤติกรรมของผู้ชมก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทีมต้องแข่งกับความสนใจที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน รวมถึงปรับตัวให้เดินทางต่อไปอย่างมั่นคง
แต่ในแง่ตลาดสัตว์เลี้ยงกลับตรงกันข้าม เพราะในอดีตช่วงเริ่มต้นใหม่ ๆ ครีเอเตอร์ประเภทนี้มัน Niche มาก จนทำให้ลูกค้าลังเลว่าควรลงทุนกับโฆษณาร่วมกับช่องประเภทนี้หรือไม่ ซึ่งถ้าเทียบกับปัจจุบันการมีสัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น ทำให้คอนเทนต์แนวนี้เป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง และกลายเป็นตลาดที่น่าจับตามองสำหรับแบรนด์ต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามมีข้อดีก็ต้องมีข้อจำกัดบางอย่าง เพราะในบทบาทครีเอเตอร์เราจะต้องสู้กับคอนเทนต์ที่ล้นตลาด โดยคุณยอร์ชมองว่าทางออกที่ดีไม่ใช่การแข่งกัน แต่คือการจับมือกันไปด้วยกันมากกว่า เช่น Gluta Story มีการทำคอนเทนต์ซีรีส์ ‘มหึหมา’ และงาน ‘เปิดโกดัง’
เพื่อเป็นพื้นที่ให้คนที่ทำงานเกี่ยวกับสัตว์ หรือครีเอเตอร์สายเดียวกันมาทำงานร่วมกัน เพราะแทนที่ผลที่ได้จะเป็นโอกาสของช่องเราช่องเดียว แต่มันยังสามารถกลายเป็นอีกหนึ่งทางในการสร้างความแข็งแกร่งไปทั้งหมวดหมู่คอนเทนต์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ทุกคนเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน
การคอลแลบ = การเรียนรู้ร่วมกัน
เห็นได้ว่าช่อง Gluta Story จะมีครีเอเตอร์เข้ามาร่วมงานด้วยอยู่เสมอ ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของคุณยอร์ชที่ต้องการเรียนรู้วิธีคิด และเปิดมุมมองจากผู้ที่มาร่วมทำคอนเทนต์ด้วยกัน เพราะการคอลแลบไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มยอดวิว หรือขยายฐานผู้ชมเท่านั้น แต่ยังเหมือนการได้อ่านหนังสือหลายเล่มผ่านการพูดคุย
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ‘นักสัตว์’ รายการที่จะพาผู้ชมไปตามรอยอาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์ และเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับคุณยอร์ชเอง ซึ่งหนึ่งใน Episode ที่น่าจดจำคือการไปถ่ายทำเบื้องหลังของ Zookeeper ที่สวนสัตว์เขาเขียว ที่ในตอนนั้นหมูเด้งยังไม่ลืมตาดูโลก แต่หลังจากที่ฮิปโปแคระกลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก คอนเทนต์เหล่านั้นก็ถูกย้อนกลับมารับชมอีกครั้ง ทำให้ผู้ชมได้ทำความรู้จักหมูเด้งไปพร้อม ๆ กับช่อง Gluta Story นั่นเอง
แนวทางการทำคอนเทนต์ที่ถ่ายทอดความเป็นตัวเอง
แม้ว่าช่อง Gluta Story จะไม่ได้ตามกระแสทันทุกเทรนด์ แต่ก็ต้องศึกษา และเข้าใจพฤติกรรมของผู้ชมในแต่ละช่วงเวลา เพื่อปรับแนวทางให้เหมาะสมโดยไม่ละทิ้งความเป็นตัวเอง เพราะคุณยอร์ชมองว่าทุกการเปลี่ยนแปลงมาพร้อมกับความรู้สึก Suffer ที่ต้องทิ้งของเดิม และสร้างสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งทุกคนจะต้องยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อทดลองวิธีที่ดีที่สุดของช่องเราเอง
โดยคุณยอร์ชได้เล่าถึง Challenge ที่อยากลองทำในฐานะครีเอเตอร์ ซึ่งสะท้อนแนวคิดที่สวนกระแสอย่างน่าสนใจ เช่น ถ้าในช่วงจังหวะนี้คอนเทนต์ประเภท Short-form ที่เน้นความตื่นเต้น และรวดเร็วได้รับความนิยม เราก็จะลองสร้างคอนเทนต์ที่เงียบ ๆ ช้า ๆ เพื่อต่อสู้กับอัลกอรึม และสร้างเทรนด์ในแบบของตัวเองขึ้นมา
เพราะการรักษากลุ่มเป้าหมายเดิม สำคัญไม่แพ้การสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ
แม้ว่าการเข้าหากลุ่มเป้าหมายใหม่จะสำคัญ แต่ Gluta Story ให้ความสำคัญกับการรักษากลุ่มผู้ชมเดิมในระยะยาว เพราะนอกจากที่ครีเอเตอร์จะพัฒนาขึ้นทุกวัน แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มผู้ชมก็เติบโต และมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ทำให้การสร้างคอมมูนิตี้เพื่อรักษาความสัมพันธ์เป็นหนึ่งในรากฐานของการยืนระยะในวงการคอนเทนต์
ซึ่งคุณยอร์ชเผยถึงแผนในอนาคตว่า ทีมมีแนวคิดที่จะสร้างแบรนด์ขึ้นมาเพื่อซัปพอร์ตคอมมูนิตี้ ของ Gluta Story โดยจะเป็นโปรเจกต์ที่เน้นการเชื่อมโยงกันในรูปแบบออฟไลน์ แม้ว่าจะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดว่าจะออกมาในลักษณะไหน แต่จุดประสงค์หลักคือการมอบความสุขกลับไป และสร้างความยั่งยืนให้กับคอมมูนิตี้ที่เติบโตมาพร้อมกับช่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
การเลือกใช้แพลตฟอร์ม และวัดผลความสำเร็จ
คุณยอร์ชได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการวัดผลความสำเร็จของช่องไว้ว่า Gluta Story ไม่ได้มองตัวเลขเป็นตัวชี้วัดหลัก เพราะทีมให้ความสำคัญกับคุณภาพคอนเทนต์มากกว่า อย่างไรก็ตามหากถามว่าเคยรู้สึกนอยด์เวลาได้ยอดวิวน้อยหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่ามีบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเกิดจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ แต่ปัจจุบันความรู้สึกเหล่านั้นลดลง เพราะทีมมีมาตรฐานร่วมกันว่าส่ิงที่ทำออกไป คือ ‘คอนเทนต์ที่ดี’
อย่างไรก็ตามถึง Gluta Story จะไม่ได้ยึดตัวเลขเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ แต่ก็การเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ในแต่ละแพลตฟอร์มยังเป็นสิ่งสำคัญอยู่ เพื่อให้สามารถออกแบบคอนเทนต์ได้อย่างเหมาะสม และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด โดยคุณยอร์ชได้ยกตัวอย่างแพลตฟอร์มหลัก ๆ ไว้ ดังนี้
- YouTube: เป็นช่องทางหลักที่ Gluta Story ชอบที่สุด เพราะแพลตฟอร์มนี้ทำให้ผู้ชมสามารถอยู่กับคอนเทนต์ของเราได้นาน โดยคุณยอร์ชเชื่อว่า YouTube จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ได้ดีที่สุด เพราะการดูวิดีโอแบบ Long-form จะเหมือนการค่อย ๆ ตกหลุมรักกัน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้าง Loyalty และเกิดคอมมูนิตี้ที่จะยืนระยะไปด้วยกันอย่างยาวนาน
- TikTok: พฤติกรรมของผู้ใช้ TikTok คือการเล่าเรื่องแบบ Roller Coaster ที่ไม่สามารถคาดเดา หัว-กลาง-ท้าย ของคอนเทนต์ได้ โดยจะต้องเน้นการเล่าแบบ Storytelling และใช้เสียงเราเล่าไปเลย ทำให้เราจะต้องสะสมเรื่องราวเพื่อนำมาถ่ายทอดบนแพลตฟอร์มนี้
- Facebook: นอกจาก Text Post ในเพจแล้ว การทำ Reels ยังได้รับเอนเกจที่ดีมาก ๆ จากผู้ชม แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องไม่มองว่าคอนเทนต์ที่เราลงเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่อง เช่น ‘ภาพหางหมา’ อาจดูธรรมดา แต่ถ้าเราเพิ่มแคปชันเข้าไปก็จะส่งให้ภาพมีเรื่องราวขึ้นมาได้
- Instagram: คุณยอร์ชในแชร์ว่าช่วงนี้ชอบแพลตฟอร์มนี้เป็นพิเศษ เพราะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันให้ผู้ติดตามได้แบบไม่ต้องมีความกดดัน และคิดเยอะ โดยคอนเทนต์จะเน้นไปที่การถ่ายโมเมนต์ต่าง ๆ เช่น น้องหมาที่โดนเกา เพราะแค่นี้ผู้ติดตามก็ชอบแล้ว
กระบวนการต่อยอดคอนเทนต์จากออนไลน์สู่ออฟไลน์
สิ่งที่คุณยอร์ชให้ความสำคัญอย่างมากในการต่อยอดจากโลกออนไลน์สู่โลกออฟไลน์ คือ การสร้างคาแรกเตอร์ เพราะถ้าหากคาแรกเตอร์มีความแข็งแรง และชัดเจน ก็จะกลายเป็นจุดที่ทำให้ผู้ชมจดจำ รวมถึงสามารถทำการเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น เช่น คนส่วนใหญ่จะจำนิสัยที่ ‘สนิมกินมะม่วง’ หรือ ‘เมิร์ลชอบแมว’ ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะสามารถนำมาต่อยอดเป็น Merchandise ได้อย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกันสินค้าเหล่านี้ก็สามารถเกิดจากเหตุการณ์ในคอนเทนต์ได้ เช่นเดียวกับการจัดอีเวนต์ หรือเฟสติวัล ที่คุณยอร์ชไม่ได้มองว่ามันเป็นแค่งานออฟไลน์ธรรมดา แต่ยังเป็นคอนเทนต์แบบจับต้องได้ เพราะฉะนั้นการออกแบบงานจะถูกวางแผนให้เชื่อมโยงกับคอนเทนต์ที่เคยเล่าไว้บนช่อง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมรู้สึก Remind กับคอนเทนต์ที่เราทำผ่านการเดินดูบรรยากาศในงานมากที่สุด
การใช้ AI เข้ามาช่วยในงานของ Gluta Story
สำหรับ Gluta Story มีการนำ AI มาใช้ คือการเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ด้านครีเอทีฟมีการโยนไอเดียกับ AI เพื่อร่วม Brainstorm และต่อยอดแนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งบางครั้งอาจได้คำตอบที่คาดไม่ถึงจาก AI อย่างไรก็ตามต้องใช้ให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม โดยเฉพาะด้านจริยธรรมในแวดวงศิลปะที่จะต้องเลือกใช้แพลตฟอร์มที่มีการรองรับแล้วเพื่อความถูกต้อง
นอกจากนี้คุณยอร์ชยังมองว่าในตอนนี้ AI เป็นเพียงตัวช่วยเล็ก ๆ เช่น การขึ้นสเก็ตช์ หรือเอาไอเดียที่มีอยู่มาหามุมมองที่เป็นทางเลือกเพิ่มเติม แต่การสร้างสรรค์หลักของเรายังต้องอาศัยประสบการณ์, ความรู้สึก รวมถึงความสัมพันธ์ ทั้งของคนทำและผู้ชมทำให้ยังต้องจบงานด้วยมนุษย์ เพราะนั่นคือเสน่ห์ในงานของเรา
ภาพจำของคอนเทนต์สัตว์เลี้ยงในอดีต
โลกเปลี่ยนไปมากโดยเฉพาะในแง่ของทัศนคติ และความเข้าใจของสังคมต่อคอนเทนต์สัตว์เลี้ยง เพราะถ้ามองย้อนกลับๆในช่วงปีแรก ๆ ของ Gluta Story แบรนด์มักเข้าใจว่าช่องที่มีสัตว์เป็นตัวดำเนินเรื่องจะต้องเหมาะกับสปอนเซอร์ประเภทอาหาร หรือโรงพยาบาลสัตว์เท่านั้น
แต่สิ่งที่น่าตกใจคือตลอด 5 ปีแรกช่องกลับไม่มีสปอนเซอร์จากเหล่านี้เข้ามาเลย ส่วนหนึ่งอาจเพราะยังขาดความเข้าใจว่าคอนเทนต์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงสามารถเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ และสินค้าอื่น ๆ ได้อย่างไร ซึ่งคุณยอร์ชมองว่าทั้งหมดนี้กลายเป็นความท้าทายในช่วงเริ่มต้น ที่ต้องอาศัยเวลาเพื่อพิสูจน์ ซึ่งจะส่งผลต่อการเปลี่ยนมุมมองของทั้งแบรนด์ และสังคมให้เปิดกว้างมากขึ้นต่อไป
ภาพจำของคอนเทนต์สัตว์เลี้ยงในปัจจุบัน
เรียกได้ว่าตอนนี้เทรนด์การเลี้ยงสัตว์ที่เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงปีหลัง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ช่วยเปิดโอกาสให้แบรนด์มองเห็นศักยภาพของคอนเทนต์ เช่น ปัจจุบันคอนโดหลายแห่งอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้, ร้านอาหารจำนวนมากปรับตัวเป็น Pet-Friendly หรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้าก็เปิดพื้นที่ให้พาสัตว์เลี้ยงเข้าไปได้
ซึ่งนี่ก็จะทำให้หลายอุตสาหกรรมหันมาสนใจช่องหมวดหมู่นี้ และท้ายที่สุดก็จะนึกถึงเราเมื่อต้องทำแคมเปญเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ในขณะเดียวกันทางภาครัฐเองก็มีท่าทีเปิดกว้างกับครีเอเตอร์กว่าเมื่อก่อน โดยคุณยอร์ชมองว่าสิ่งที่อยากให้ภาครัฐสนับสนุนมากที่สุดคือ การอำนวยความสะดวกด้านสถานที่ถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติให้ใช้งานสถานที่ง่ายขึ้น หรือลดขั้นตอนการขออนุญาต
เพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างคอนเทนต์แล้ว การที่ครีเอเตอร์สามารถเข้าไปถ่ายทำในสถานที่ราชการ หรือสถานที่สำคัญต่าง ๆ ยังเป็นโอกาสที่ดีให้เด็กรุ่นหลังได้เรียนรู้และเข้าถึงสถานที่เหล่านั้นผ่านคอนเทนต์ที่เข้าถึงง่ายอีกด้วย
ย้อนดูโมเดลการสร้างรายได้ของ Gluta Story
ถ้ามองย้อนเส้นทางครีเอเตอร์ในช่วงเริ่มต้นสร้างรายได้ของคุณยอร์ช ส่วนใหญ่จะมาจากการทำคอนเทนต์ Long-form เป็นหลัก โดยส่วนใหญ่จะมาจากสปอนเซอร์โดยตรง ในขณะที่รายได้จากแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ยังไม่มากนัก เพราะ Gluta Story เป็นช่องที่ไม่ได้ลงคลิปถี่หรือปริมาณมากขนาดนั้น
แต่ในช่วงหลังมานี้เทรนด์ของผู้ชม และลูกค้าจะเน้นไปที่คอนเทนต์วิดีโอประเภท Short-form มากกว่า ทำให้ทีมจะต้องปรับตัว และพัฒนาคอนเทนต์ในดีขึ้นในทุกแพลตฟอร์ม โดยโมเดลรายได้ของ Gluta Story ในปัจจุบันนอกจากการทำวิดีโอ ยังมี Merchandise และกิจกรรมออฟไลน์ต่าง ๆ ซึ่งสองอย่างนี้ได้กลายเป็นรายได้หลักในปัจจุบันไปแล้ว
เหตุผลสำคัญที่การทำคอนเทนต์ไม่ใช่รายได้หลักของ Gluta Story อีกต่อไป มาจากมุมมองเรื่องความมั่นคงในอาชีพครีเอเตอร์ ซึ่งคุณยอร์ชยอมรับว่า “เมื่อก่อนรู้สึกว่ามั่นคงกว่านี้” แม้จะอยู่ในวงการมาอย่างยาวนาน และได้รับประโยชน์มากมายในฐานะครีเอเตอร์ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบในการส่งประโยชน์เหล่านั้นกลับสู่คอมมูนิตี้ที่เติบโตมาด้วยกัน
ทำให้มุมมองในการสร้างคอนเทนต์เปลี่ยนไป จากเดิมที่เน้นตอบโจทย์แบรนด์หรือสปอนเซอร์เป็นหลัก ปัจจุบัน Gluta Story หันมาให้ความสำคัญกับการทำคอนเทนต์เพื่อแฟนด้อมของตัวเองมากขึ้น พร้อมเปิดพื้นที่ให้คนที่อยากสนับสนุนได้มีส่วนร่วมในแบบที่เป็นตัวเอง
ทั้งนี้ในยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณยอร์ชเชื่อว่าครีเอเตอร์จะทำแค่อาชีพเดียวไม่ได้อีกต่อไป และจำเป็นต้องหาเส้นทางใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของรายได้ ไปจนถึงความมั่นคงเช่นเดียวกับ Gluta Story ก็มีแผนที่จะต่อยอดแบรนด์จากคอมมูนิตี้คนรักสัตว์ ควบคู่ไปกับการทำคอนเทนต์ที่ยังคงคุณภาพเดิมไว้เพื่อให้ยืนระยะในวงการได้อย่างยั่งยืน
Do & Don’t ในการทำงานร่วมกับแบรนด์และเอเจนซี
สำหรับคุณยอร์ชแล้ว การทำงานร่วมกับแบรนด์หรือเอเจนซีที่ดี คือการมี้พื้นที่ให้ครีเอเตอร์ได้แสดงความเป็นตัวเอง โดยเฉพาะในปัจจุบันที่พฤติกรรมผู้ชมเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก โดยมี Do ที่ควรทำ ดังนี้
- เปิดโจทย์แบบกว้าง ๆ: เพื่อให้ครีเอเตอร์ได้คิด และนำเสนอในรูปแบบของตัวเอง เพราะคนที่รู้จักช่อง และพฤติกรรมการรับชมดีที่สุดก็คือคนทำคอนเทนต์เอง
- สร้างสมดุล: ระหว่างความเป็นแบรนด์ และตัวตนของช่อง เช่น Gluta Story จะมีการแบ่งเวลาที่ชัดเจนในการ Tie-in เพื่อให้ผู้ติดตามไม่ Lost กับวิดีโอของเรา
- เคารพกันและกัน: เนื่องจากวิธีการเล่าเรื่องของครีเอเตอร์แต่ละคนแตกต่างกันออกไป ทำให้แบรนด์ และเอเจนซีจะต้องให้ความร่วมมือ รวมถึงไม่ควบคุมจนความเป็นตัวเองในคอนเทนต์หายไป
แน่นอนว่ามีสิ่งที่ควรทำก็ต้องมีสิ่งที่ไม่ควรทำ ซึ่งคุณยอร์ชได้ให้ความเห็นไว้ว่า
- วิธีคิดยุคเก่า: เพราะบางครั้งโฆษณายุคเก่า เช่น TVC หรือ Print Ad ที่ประสบความสำเร็จในตอนนั้นอาจนำมาใช้โดยตรงกับคอนเทนต์ออนไลน์เหมือนในตอนนี้ไม่ได้
- ข้อกำหนด: เนื่องจาก Key Message บางประโยคจะทำให้คอนเทนต์ออกมาไม่เป็นธรรมชาติ เพราะเป้าหมายของการร่วมงานระหว่างแบรนด์กับครีเอเตอร์ ไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่คือการเล่าเรื่องในแบบที่คนดูอยากฟัง และกลมกลืนไปกับสิ่งที่นำเสนอ
Mental Health สิ่งสำคัญที่ครีเอเตอร์หลายคนมองข้าม
โชคดีที่ Gluta Story มีคอมมูนิตี้ที่ค่อนข้างน่ารัก ทำให้นาน ๆ จะเจอคอมเมนต์ที่ไม่ดี แต่สุดท้ายแล้วชาวเน็ตก็ยังเป็นชาวเน็ต โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่อาจแสดงความคิดเห็นหยาบคายแบบไม่ได้ตั้งใจ ทีมก็จะหาวิธีการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ เช่น ชวนให้พูดเพราะ ๆ ใครพูดเพราะจะได้อยู่แก๊งเดียวกันนะ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามในเส้นทางครีเอเตอร์ก็มีสักครั้งที่ต้องเจอ Toxic Comment โดยคุณยอร์ชเล่าว่าทีมจะมีเกณฑ์ในการแยกระหว่างคำพูดที่มีไบแอสกับคอมเมนต์ที่ต้องการแนะนำอย่างจริงใจ แม้บางครั้งเราอาจจะไม่สามารถเห็นด้วยได้ทั้งหมด แต่มันก็มาจากความรู้สึกหวังดีของผู้ชม
อย่างไรก็ตามในยุคที่อัลกอรึทึมของแพลตฟอร์มเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้บางครั้งครีเอเตอร์เจอปัญหาเอนเกจตก จนทำให้เกิดความกังวลจากความไม่แน่นอนของผลลัพธ์ในการทำคอนเทนต์ ซึ่งคุณยอร์ชมองว่าสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ครีเอเตอร์ต้องปรับคือการดูแลสุขภาพจิต และหาวิธีผ่อนคลายเยียวยาจิตใจ รวมถึงฝึกวิธีจัดการอารมณ์ของตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อให้ทำงานบนความเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืน
คำแนะนำจากครีเอเตอร์รุ่นพี่ ทักษะสำคัญที่ครีเอเตอร์ควรมีเพื่อยืนระยะในวงการอย่างยาวนาน
สิ่งแรกคือทักษะพื้นฐานที่มนุษย์ควรมีและ AI ไม่สามารถแทนได้ง่าย ๆ นั่นคือ Sense of Humor เพราะอารมณ์ขัน และความเป็นมนุษย์คือสิ่งสำคัญที่สร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ชมได้อย่างแท้จริง แต่ครีเอเตอร์ต้องไม่ลืมที่จะดูแลสุขภาพจิต (Mental Health) เพราะในโลกที่หมุนเร็วคนชื่นชอบตัวเราในตัวเราวันนี้ ก็อาจลืมเราในวันพรุ่งนี้
นอกจากนี้อีกทักษะที่ควรมี คือ ความสามารถในการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของคอนเทนต์ และแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนแปลงเร็วอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งรู้จักปล่อยวางอย่ายึดติดกับสิ่งเดิม เพราะจะทำให้ไม่สามารถเสิร์ฟสิ่งใหม่ ๆ และก้าวต่อบนเส้นทางอาชีพของครีเอเตอร์
“เพราะคลื่นการเปลี่ยนแปลงก็เหมือนทะเล เราต้องเซิร์ฟคลื่นทุกลูกด้วยท่าต่าง ๆ ที่ไม่ซ้ำกันให้ได้” – ยอร์ช-สรศาสตร์ วิเศษสินธุ์, Gluta Story
จากเส้นทางของ Gluta Story ทำให้เราได้เห็นว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่ได้เกิดจากการวิ่งตามกระแสเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการสร้างตัวตนที่แข็งแกร่ง พร้อมพัฒนารูปแบบคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง และเปิดรับสิ่งใหม่อยู่เสมอ เพราะท้ายที่สุดการเป็นครีเอเตอร์ไม่ได้ไม่ได้หมายถึงการตามทุกกระแส แต่คือการสร้างพื้นที่ที่ผู้คนอยากกลับมาใช้เวลาและมีส่วนร่วมอยู่เสมอ
สำหรับใครที่อยากได้อินไซต์เพิ่มเติมสำหรับการพัฒนาคอนเทนต์สามารถดาวน์โหลด iCreator Report 2025 ได้ที่ลิงก์ https://www.rainmaker.in.th/icreatorreport/ เพื่อนำไปปรับใช้กับช่องของเราได้เลย!