
หากในโลกคอนเทนต์ยังมีเทรนด์และไวรัลแห่งปี ฝั่งแพลตฟอร์มที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็มีอัปเดตเช่นกัน และในปี 2025 ก็มีการเปลี่ยนแปลงทั้งบน Meta (Facebook และ Instagram), YouTube, TikTok, X และ LINE ไปจนถึงแพลตฟอร์มด้าน E-Commerce อย่าง Shopee, Lazada, YouTube Shopping และ Affiliate มาแชร์กันด้วย เพื่อให้เตรียมพร้อมรับปี 2026 อย่างมั่นคง
ก่อนจะขึ้นปีใหม่เรียกได้ว่าช่วงระหว่างปี 2025 นั้นทุกแพลตฟอร์มต่างก็พร้อมใจกันออกฟีเจอร์ที่เอาใจเหล่าครีเอเตอร์ พร้อมอัปเกรดฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้ AI เข้ามาช่วยมากขึ้น ไปจนถึงเปลี่ยนแปลงระบบหลังบ้านและระบบของแพลตฟอร์มเพื่อให้วิเคราะห์ยอดเอนเกจเมนต์ รวมถึงปรับให้เข้ากับการเสพคอนเทนต์ของผู้คนได้มากขึ้น
ด้าน E-Commerce ก็มีทั้งการเข้าคอลแลบกับแพลตฟอร์ม และเปิดโปรแกรมใหม่ ๆ ให้ครีเอเตอร์และแบรนด์ได้มีบทบาทมากขึ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้ผู้คนให้ความเชื่อใจคอนเทนต์และเสียงของครีเอเตอร์ที่มาคอลแลบกับแบรนด์มากกว่า
และการเข้ามาของ AI ก็ทำให้แพลตฟอร์มสร้างงานดีไซน์อย่าง Adobe, Canva หรือ Figma แข่งขันกันอัปเกรดฟีเจอร์ด้วยเช่นเดียวกัน รวมถึงแพลตฟอร์มด้าน AI ก็แข่งกันเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ มากมาย ตั้งแต่ Nano Banana Pro, Veo 3, ChatGPT เวอร์ชัน GPT-4o, Smarter Search และ Gemini 3 ไปจนถึงการคอลแลบข้ามแพลตฟอร์มกัน แต่ในปี 2025 เหล่าแพลตฟอร์มจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง RAiNMaker รวบรวมมาให้ที่นี่แล้ว!

- Facebook เปลี่ยนหน้าฟีดทุกคลิปที่อัปโหลดกลายเป็น ‘Reels’
ทุกคอนเทนต์วิดีโอบน Facebook จะถูกโพสต์ในรูปแบบ Reels ทั้งหมด แต่ไม่ใช่แค่วิดีโอแบบยาว และ Reels ที่ถูกรวมกันเท่านั้น เพราะวิดีโอแบบไลฟ์ก็จะถูกรวมเข้าไปด้วย ทำให้ผู้ใช้ Facebook จะเจอคอนเทนต์วิดีโอทุกประเภทในแท็บ Facebook Reels และการตั้งค่าการมองเห็นคลิปจะยังคงเป็นเพื่อน หรือผู้ติดตามของเราอยู่ ส่วนคอนเทนต์วิดีโอเก่า ๆ ที่เคยโพสต์ลงไปแล้วจะยังคงอยู่บนโปรไฟล์ หรือหน้าเพจโดยไม่หายไปไหน
- Metaยุติแอป Messenger เวอร์ชัน Windows และ Mac
Meta เตรียมยกเลิกการใช้งาน Messenger เวอร์ชันเดสก์ท็อปอย่าง Windows และ Mac แล้ว ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถใช้งานเวอร์ชันแอปแยกออกมาได้อีก แต่จะมีเวลา 60 วันหลังจากการยุติในการลบแอป และปรับไปใช้การแชตผ่าน Messenger บนเว็บไซต์ Facebook แทน โดยประวัติการแชตทั้งหมดจะยังคงอยู่ แต่จะต้องเข้าไปเปิด Secure Storage และเซทอัป PIN บนเดสก์ท็อปก่อนเพื่อเซฟประวัติการแชตเดิมเอาไว้
- ทดสอบ Photo Album 1:1 เลื่อนได้
โพสต์แบบ 1200 x 1200px ใน Ratio 1:1 จะไม่ได้ปรากฏขึ้นหน้าฟีดแบบ Photo Album ทั้ง 5 ภาพแล้ว แต่จะขึ้นเป็นภาพให้ปัดซ้ายขวาแบบ Instagram ได้ โดยมีผลเฉพาะกับหน้าฟีด Facebook เท่านั้น เพราะหากกดเข้าไปดูในโพสต์จากหน้าโปรไฟล์ของแอ็กเคานท์ ก็จะยังมีการแสดงผลเป็น Photo Album แบบเดิมทั้ง 5 ภาพต่อกันรวมปกคอนเทนต์อยู่แบบเดิม และมีผลกับโพสต์ Photo Album แบบจ่ายเงินยิงโฆษณาเช่นกัน
- เปลี่ยนไปใช้ ‘Views’ เป็นตัวชี้วัดหลัก
Facebook ก็จะมียอดวิวเป็นตัวชี้วัดหลัก โดยสาเหตุมาจากการที่ผู้ใช้มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป และเริ่มมีส่วนร่วมกับโพสต์ที่เป็นคลิปมากขึ้นกว่าเดิมบนแพลตฟอร์ม รวมถึงมีการยกเลิกเมตริกตัวชี้วัดอย่าง Impressions เพราะจะถูกแทนที่ด้วยยอด Views เป็นหลักบน API ทุกเวอร์ชันหลังอัปเดต ‘Page Insights API’ ใหม่ ทำให้คนที่ทำคอนเทนต์บน Facebook ไม่ต้องกังวลเรื่องจำนวนผู้ติดตามมากจนเกินไป
- Meta Business Suite ใส่ภาพและวิดีโอในโพสต์เดียวกัน
Facebook ให้ผู้ใช้ Meta Business Suite สามารถโพสต์ภาพ และวิดีโอหลายไฟล์ได้ในโพสต์เดียวกันผ่านฟีเจอร์ ‘Add Photo/Video’ โดยจะมีปุ่มขึ้นมาให้กดอัปโหลดแบบผสมผสาน เลยทำให้ผู้ใช้เลือกโพสต์คอนเทนต์ที่ต้องการได้หลากหลาย และจัดการโพสต์หลังบ้านได้ง่ายขึ้น และไม่ต้องเข้าไปโพสต์ที่หน้าหลักของ Facebook บนแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ของแพลตฟอร์ม
- รวม ‘Stories’ เข้าโปรแกรม ‘Content Monetization’
acebook ได้มีการรวมโฆษณาแบบ In-Stream และโปรแกรม Performance Bonus เข้าด้วยกันเพื่อลดความซับซ้อน ทำให้โปรแกรมการโพสต์วิดีโอ, รูป, ข้อความ, Reels และ Stories จะทำงานโดยอัตโนมัติแบบไม่ต้องเปิดการใช้งาน ทำให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มได้ง่ายขึ้น และเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มผ่านคอนเทนต์โดยตรง นอกเหนือจากการรับรายได้จากโฆษณา
- คลิป Livestream อยู่ได้ 30 วัน
ต่อจากนี้คลิปที่เคยไลฟ์ไปจะอยู่ได้ถึงแค่ 30 วัน โดยหากไม่ได้ดาวน์โหลด หรือเก็บไว้นานกว่านั้นจะถูกลบออกจากแอปแล้ว เพื่อจัดการระบบคลังข้อมูลของวิดีโอได้มากขึ้น ทาง Meta จึงมีการเคลียร์สต็อกคลิปใหม่ เพราะโดยเฉลี่ยแล้วยอดวิวของคอนเทนต์แบบ Livestream จะมากที่สุดแค่ในช่วงสัปดาห์แรกเท่านั้นเพื่อคงความสดใหม่ และยอดวิว หรือเอนเกจเมนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ และแบรนด์สาย Livestream
ส่วนการอัปเดตอื่น ๆ ของ Facebook โดยรวมแล้วก็เป็นการอัปเกรดเพื่อครีเอเตอร์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับอัลกอริทึมใหม่เพื่อให้โฟกัสออริจินัลคอนเทนต์, เพิ่มประเภทการแยกโปรไฟล์เพจ ‘Business’ และ ‘Creator’, การให้ให้เปลี่ยน ‘Private Group’ เป็น ‘Public Group’ ได้
รวมถึงขยายฟีเจอร์สำหรับแบรนด์และครีเอเตอร์ เพื่อช่วยให้แบรนด์สร้าง Partnership Ads กับครีเอเตอร์ได้ง่ายขึ้น โดยเพิ่มฟีเจอร์ค้นหาโอกาสร่วมงาน, อินไซต์จากครีเอเตอร์, API สำหรับ Partnership Ads แบบใหม่ และการขยายฐานครีเอเตอร์ให้เลือกมากขึ้นไปด้วย

- ปรับ Layout เป็น 4:5 (1080 x 1350px)
โพสต์แบบ Layout ขนาด 1:1 นั้นมีมานาน จนถึงเวลาเปลี่ยนให้ผู้ใช้โพสต์ได้แบบ Square 1:1 มาสู่ Ratio 4:5 ขนาด 1080 x 1350 เหมาะสมกับขนาดในการสร้างโพสต์หน้าฟีด ที่เหมาะทั้งกับโพสต์แบบ Single Image และ Carousels ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็ทำให้ผู้ใช้เสียงแตก แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้วางแผนในการโพสต์ได้ง่ายขึ้น โดยที่โพสต์ไม่ได้ถูกครอบตัดออกไป ซึ่งทำให้ Layout เหมือนกับหน้าฟีดของ TikTok ด้วย
- Re-Share Stories จาก Public Account
Instagram ได้เพิ่มทางเลือกใหม่สำหรับการขยายคอมมูนิตี้ผ่านการเลือกแชร์ ‘Public Stories’ หรือการรีแชร์สตอรีจากแอ็กเคานต์สาธารณะ ที่จะเปิดให้แชร์ไปยังแอ็กเคานต์ของตัวเองได้แม้จะไม่ได้ถูกแท็กในสตอรีก็ตาม เพื่อเป็นการแชร์ให้ผู้คนเห็นสตอรีมากขึ้นกับผู้ติดตามกลุ่มใหม่ ๆ ของคนที่แชร์ไป และการรีแชร์สตอรีแบบสาธารณะนั้นก็จะมีการให้เครดิตกลับไปยังครีเอเตอร์เจ้าของโพสต์ด้วย
- Reels เพิ่มเวลาถ่ายสูงสุด 20 นาที
นี่คือการอัปเดตที่ทำให้การถ่ายคลิปและตัดต่อคลิปบน Instagram ง่ายขึ้น ซึ่งจะสามารถถ่ายวิดีโอสูงสุดเป็น 20 นาทีผ่าน Reels แต่ยังคงต้องพิจารณาด้วยว่า การโพสต์คลิปที่มีความยาวอาจไม่ได้รับการตรวจจับจากอัลกอรึทึมบนแพลตฟอร์ม เพราะคลิปที่ถูกดันขึ้นส่วนใหญ่จะมีความยาวไม่เกิน 3 นาทีเท่านั้น เพื่อรักษาเอนเกจเมนต์ และการเข้าถึงของผู้ชม
- เปลี่ยนกฎ ครีเอเตอร์ผู้ติดตามไม่ถึง 1,000 คน ไลฟ์ไม่ได้
จากนี้ไป Instagram เตรียมปรับให้ผู้ใช้ที่มีผู้ติดตามน้อยกว่า 1,000 คนไม่สามารถไลฟ์ได้อีกต่อไป รวมถึงแอ็กเคานต์ที่ไม่ได้เปิดเป็นสาธารณะจะไม่สามารถไลฟ์ได้อีกต่อไปเช่นกัน ซึ่งกฎใหม่นี้ส่งผลกระทบโดยตรงกับครีเอเตอร์และร้านค้าขนาดเล็กที่มีผู้ติดตามไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด รวมถึงแพลตฟอร์มอาจต้องการลดพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสม เพื่อยกระดับคุณภาพของไลฟ์ เพราะคนที่มีผู้ติดตามระดับหนึ่งมีแนวโน้มที่จะใส่ใจในคุณภาพคอนเทนต์มากกว่า
- เปิดตัว ‘Blend’ ฟีเจอร์รวมฟีด Reels กับเพื่อน
Instagram ได้เปิดตัวฟีเจอร์ Blend อย่างเป็นทางการ ทำให้เรากับเพื่อนที่ติดตามกันมาดูรวมกันได้ในสตรีมเดียว แบบไม่ต้องส่งหากันทีละคลิปอีกต่อไป โดยทุกคลิปในฟีด Blend จะขึ้นว่าแนะนำให้ใครดู อิงจากพฤติกรรมการดู และกดไลก์ของคนนั้น หมายความว่าหากเรายิ่งดู หรือยิ่งแชร์ ระบบก็จะแนะนำคลิปที่ตรงความสนใจมากขึ้น เพราะฟีดจะปรับตามความชอบแบบเรียลไทม์ไปด้วย
- ขยายเวลา Reels สูงสุด 3 นาที
ผู้ใช้จะสามารถอัปโหลดวิดีโอ Reels ได้นานกว่าเดิม จากเดิมเพียงแค่ 90 วินาทีอาจจะสั้นเกินไป เพราะต้องการให้ Instagram เน้นไปที่การเป็น Short-form มากขึ้น ไม่ใช่ Long-form ก็เลยเพิ่มความยาวเป็น 3 นาที เพื่อเพิ่มขีดจำกัดในการทำคอนเทนต์วิดีโอได้นานขึ้น ซึ่งความแตกต่างของความยาวคอนเทนต์นั้นมีผลจริง เพราะจุดที่ดึงดูดเอนเกจเมนต์ได้มากที่สุดจะอยู่ระหว่าง 30-90 วินาทีเท่านั้น
- เปิดตัวแอปตัดต่อวิดีโอ ‘Edits’ อย่างเป็นทางการ
นี่คือแอปตัดต่อวิดีโอใหม่จาก Meta ที่มีฟีเจอร์ตัดต่อและแก้ไขวิดีโอพื้นฐาน และมีความคล้ายคลึงกับ CapCut อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายวิดีโอได้นานถึง 10 นาที, การค้นหาเสียงที่เป็นเทรนด์ หรือการถ่ายวิดีโอคุณภาพสูง และการเข้าถึง Video Analytics เพื่อวิเคราะห์อินไซต์ของวิดีโอ โดยฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ใช้งานได้ฟรี อีกทั้งยังเพิ่มฟีเจอร์เชิญคนอื่นมาร่วมตัดต่อแก้ไขวิดีโอได้พร้อมกัน รวมถึงการมี AI มาช่วยสร้างฟรีโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่มด้วย
สำหรับ Instagram ในปีนี้ถือเป็นแพลตฟอร์มหลักที่มีบทบาทมากขึ้นไม่แพ้ TikTok เลยก็ว่าได้ ทำให้การอัปเดตมักจะเน้นไปที่ Reels มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม ‘Trial Reels’ สำหรับครีเอเตอร์ผู้ติดตาม 1,000 คนขึ้นไปและเปิด Public ให้แสดงคลิปกับผู้คนที่ไม่ได้ติดตามได้
รวมถึงเพิ่ม Reels เข้ามาในแถบเมนูหลัก โดยมี Reels Algorithm Control ให้คัดกรองคลิป Reels ตามหมวดหมู่ที่สนใจอยากดูมากขึ้นในหน้าฟีด อีกทั้งยังมี ‘Link a Reel’ สำหรับลิงก์ไปยังคลิป Reels อื่นของตัวเอง และเพิ่ม ‘Retention Metrics’ บน Reels วิเคราะห์ช่วงที่คนเลิกดูวิดีโอ และวัดการมีส่วนร่วมของผู้ชมให้เป็นระบบขึ้นด้วย
YouTube

- เพิ่มเวลา Shorts จาก 1 นาทีเป็น 3 นาที
ผู้ใช้สามารถสร้างคลิป Shorts ได้ยาวสูงสุด 3 นาที จากเดิม 1 นาที เป็นการเพิ่มโอกาสและดึงดูดให้ครีเอเตอร์หันมาทำคลิป Shorts มากขึ้น ทำให้คลิปที่ยาวไม่เกิน 3 นาทีจะกลายเป็นคลิป Shorts ทันที โดยจะปรากฏบน ‘Short Shelf’ บน Subscription ที่หน้าช่องของเรา รวมถึงครีเอเตอร์ยังสามารถเข้าไปดูคลิปเหล่านี้บน YouTube Studio แต่การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะไม่มีผลกับคลิปที่ครีเอเตอร์เคยอัปโหลดก่อนหน้านี้
- ขยายการทดสอบ A/B ผ่านชื่อและปกคลิป
YouTube ได้ขยายการเข้าถึงคลิปมากขึ้นสำหรับครีเอเตอร์ ผ่านการทดสอบ A/B Testing ทั้งชื่อคลิป (Title) และปกคลิป (Thumbnail) พร้อมกับแอดวานซ์ฟีเจอร์มากมายให้ได้เลือกใช้กัน พร้อมมี Sample Set ให้สำหรับวัดผลประสิทธิภาพของคลิปภายใน 2 สัปดาห์ว่าคลิปไหนจะเป็นผู้ชนะในการมียอด Watch Time มากที่สุด ซึ่งเป็นยอดเอนเกจเมนต์ที่มั่นคงกว่ายอด Click-through Rate (CTR) ด้วย
- ปล่อยไลฟ์สตรีมแบบ ‘Members-only’
YouTube ได้ปล่อยการไลฟ์สตรีมที่เพิ่มความเอ็กซ์คลูซีฟมากขึ้น จึงทำให้สามารถจัดการและปรับแต่งช่อง รวมถึงเพิ่มความเอ็กซ์คลูซีฟมากขึ้น โดยเริ่มจากการเปลี่ยนให้ไลฟ์สตรีมแบบ Public มาเป็นการไลฟ์สตรีมแบบ Members-only แทน ทำให้ครีเอเตอร์ที่เป็นสายไลฟ์บน YouTube ไม่ต้องเริ่มการไลฟ์สตรีมใหม่เพราะสามารถย้าย (Transfer) ได้เลย เพื่อเพิ่มยอดการติดตามช่องมากขึ้น
- เปลี่ยนวิธีนับยอดวิวคลิป Shorts แค่เลื่อนผ่านก็นับ
โดย YouTube ตั้งใจจะผลักดันให้เหล่าครีเอเตอร์หันมาทำคอนเทนต์ลง Shorts มากขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงการนับยอดวิวจะส่งผลให้ยอดวิวของ Shorts สูงขึ้นกว่าเดิมมาก YouTube จึงเปลี่ยนให้การนับยอดวิวคลิป Shorts สามารถถูกนับได้ตั้งแต่ที่คลิปถูกเล่นเวลาเลื่อนผ่านหน้าฟีดบนแท็บ Shorts หรือรับชมจนคลิปนั้นถูกเล่นวนซ้ำอีกครั้ง โดยไม่มีขั้นต่ำของ Watch Time ในการรับชมเพื่อปั้นเอนเกจเมนต์เลย
- เพิ่ม ‘Replace Song’ ใช้ AI หาเพลงแทนส่วนที่ติดลิขสิทธิ์
YouTube อัปเดตตัวเลือก ‘Replace Song’ ใน YouTube Studio ที่ใช้ AI ช่วยแนะนำเพลงมาทดแทนในส่วนที่ติดลิขสิทธิ์หรือขัดกับกฎของแพลตฟอร์ม รวมถึง ‘Song Erase’ ให้ครีเอเตอร์สามารถลบเสียง หรือเปลี่ยนเป็นเพลงที่ใช้แทน เพื่อให้วิดีโอยังคงเผยแพร่ได้แทนที่จะถูกลบออกไปทั้งหมด และมี AI ช่วยแนะนำเพลงทดแทนที่เหมาะสมให้เลือกได้ง่ายขึ้น ซึ่งระบบจะแนะนำเพลงที่สามารถใช้แทนได้ 10 เพลงเลยทีเดียว
- อัปเดต ‘Mid-roll ads’ เล่นโฆษณาแทรกคลิปแบบมีจังหวะ
ปกติแล้วโฆษณาบน YouTube มักจะขึ้นมาแทรกระหว่างดูคอนเทนต์แบบไม่เป็นเวลา แต่เมื่อได้เปลี่ยนมาเป็น โฆษณาแบบ mid-roll ads หรือการขึ้นโฆษณาแทรกระหว่างคลิป YouTube จะมีจังหวะในการขึ้นที่เหมาะสม และทำให้ผู้ชมชาว YouTuber หงุดหงิดใจน้อยลง และโฆษณาก็จะขึ้นได้ถูกจังหวะเช่นเปลี่ยนเรื่องในคอนเทนต์สู่เรื่องต่อไป หรือตอนที่คอนเทนต์หยุดเล่น จากเดิมที่มักจะขึ้นมาแทรกขณะครีเอเตอร์กำลังพูด
- เปิดโปรแกรม ‘Second Chance’ ให้โอกาสครีเอเตอร์ที่ถูกแบนกลับมาใหม่
เรียกได้ว่าเป็นการแก้ไขจากการฟังเสียงของผู้ใช้บนแพลตฟอร์มใน Creator Community ทำให้ YouTube เพิ่มโปรแกรมนำร่องอย่าง ‘Qualified Creators’ เพื่อช่วยประเมินว่าครีเอเตอร์ที่ถูกแบนถาวรจะกลับมาทำช่องอีกครั้งได้อย่างไรบ้าง และครีเอเตอร์ก็จะมีสิทธิ์เริ่มเห็นตัวเลือกในการขอสร้างช่องใหม่เมื่อเข้าสู่ระบบ YouTube Studio บนเดสก์ท็อปด้วย ทำให้ช่องที่ถูกแบนถาวรไปแล้วจะสามารถส่งคำขอเพื่อรออนุมัติในการสร้างช่องใหม่ได้
และนอกจากไฮไลต์การอัปเดตที่ควรรู้ ปีนี้ YouTube ก็ดูจะเน้นไปที่การอัปเกรดเพื่อประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบการควบคุมหน้าฟีดใหม่ ‘Feed Customization Option’ เพื่ออัปเดตการแนะนำอัลกอริทึมผ่านการสนทนาบนแชตบอทและป้อนพรอมพ์ได้
หรือการเพิ่มฟีเจอร์ปรับความชัดของคลิปด้วย AI บนทีวีอัตโนมัติ พร้อม UI ใหม่ที่มีความโมเดิร์นและง่ายต่อการใช้งานมากกว่าเดิม ไปจนถึงปรับปรุงระบบแชร์โพสต์ เพิ่มคอนโทรล Timestamp ด้วยระบบ Drag-and-Drop หรือลากวาง เพื่อช่วยให้ครีเอเตอร์ขยับตำแหน่ง Timestamps ให้ตรงกับเนื้อหาที่ต้องการได้สะดวกขึ้น และจัดหมวดเนื้อหาในวิดีโอได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้แพลตฟอร์มได้มีการขยายระบบ AI Comment Reply ให้ใช้งานได้ในทุกเวอร์ชันของ YouTube Studio พร้อมรองรับมากกว่า 100 ภาษาเพื่อช่วยให้ครีเอเตอร์ดูภาพรวมคอมเมนต์ของผู้ติดตาม และตอบกลับได้อย่างรวดเร็วด้วย
TikTok

- นโยบายใหม่ ‘TikTok Shop’ ห้ามใช้ AI สร้างคอนเทนต์ติดตะกร้า
TikTok Shop เพิ่มนโยบายแบนเนื้อหาที่สร้างด้วย AI โดยห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่สร้างขึ้นด้วย AI ที่เป็นการเลียนแบบบุคคลหรือเนื้อหาที่ถูกตัดต่อแบบสร้างความเข้าใจผิดได้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และความโปร่งใสให้ผู้บริโภค เนื่องจากคอนเทนต์ที่สร้างด้วย AI ในตอนนี้มีความสมจริงสูงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดง่าย รวมถึงการปรับแต่งสินค้าจนเกินจริง ซึ่งอาจนำไปสู่การปลอมแปลงด้วย
- เปิดตัวฟีเจอร์ AI ‘Smart Split’ ช่วยตัดคลิปสั้น
ฟีเจอร์ Smart Split ที่ทำงานด้วย AI จะทำให้ครีเอเตอร์สามารถตัดต่อวิดีโอยาวมากกว่า 1 นาทีให้เป็นวิดีโอสั้นโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นความยาว, สร้างแคปชัน และการจัดระยะเฟรมเป็นแนวตั้งผ่าน TikTok Studio จนถึงกระบวนการตัดต่อจากวิดีโอยาวให้กลายเป็นคลิปสั้น ๆ โดยอัตโนมัติ พร้อมอัปเดตส่วนแบ่งสำหรับครีเอเตอร์เปิดให้ผู้ติดตาม Subscription ให้ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากแพลตฟอร์มสูงสุด 90% เลยทีเดียว
- จำกัดจำนวนแฮชแท็กเหลือสูงสุด 5 แท็ก
TikTok กำหนดให้ใส่แฮชแท็กในแต่ละโพสต์ได้สูงสุดไม่เกิน 5 แท็ก เพื่อควบคุมจำนวนข้อความที่เกี่ยวข้องในการกำหนดหัวข้อของวิดีโอเวลาเสิร์ชแบบเฉพาะเจาะจง โดยการลดแฮชแท็กเป็นการลดสแปมแท็กยอดนิยม เพราะการลดแฮชแท็กที่ไม่เกี่ยวข้องกับคลิปจะช่วยเพิ่มยอดการเข้าถึงมากขึ้น แต่ใครที่ไม่รู้จะใช้แฮชแท็กไหนก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ TikTok Trends Dashboard เลย
- เพิ่มฟีเจอร์ ‘Schedule Post’
หลังจากที่ครีเอเตอร์หลายคนต้องประสบปัญหาตั้งเวลาโพสต์ไม่ได้ TikTok ก็ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Schedule post เพื่อให้ครีเอเตอร์สามารถตั้งเวลาลงโพสต์ได้โดยไม่ต้องสลับแอป หรือเว็บเบราว์เซอร์ไปที่ TikTok Studio ซึ่งนี่ถือเป็นการอัปเดตที่หลายคนรอคอย เพราะฟีเจอร์นี้จะช่วยลดขั้นตอน และวางแผนทำคอนเทนต์ล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะใช้ร่วมกับข้อมูลหลังบ้านบน TikTok Studio Analytics เพื่อดูเวลาที่ผู้ชมใช้งานมากที่สุด
- เปิดตัว ‘TikTok for Artist’
TikTok กำลังเดินเกมในวงการเพลงเพิ่มหลังจากแพลตฟอร์มมีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้เพลงเป็นกระแสได้ และเทรนด์ที่ศิลปินเริ่มทำเพลงสั้นลง ก็ถึงเวลาแล้วที่จะมี TikTok for Artist ขึ้นมา เป็นศูนย์รวมที่คอยจัดการกับข้อมูลเพลง และหลังบ้านต่าง ๆ ได้สำหรับศิลปิน เช่นเดียวกับครีเอเตอร์ที่มีหลังบ้านไว้ดูอินไซต์ หรือวิเคราะห์แนวทางคอนเทนต์จากกลุ่มเป้าหมายเพื่อพัฒนาช่องต่อไป
- TikTok Studio เพิ่มการเชื่อมต่อกล้องกับสมาร์ตโฟน
TikTok Studio ได้เพิ่มการเชื่อมต่อ และตั้งค่าการเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ตโฟนกับเดสก์ท็อป ไปจนถึง iPad ที่เพิ่มมุมกล้อง 2 ให้ด้วย เพียงแค่ไปที่หน้า Live Stream ที่เดสก์ท็อปหรืออุปกรณ์ที่ใช้ไลฟ์เป็นประจำ จากนั้นก็สแกนรหัส QR Code ที่แสดงอยู่หน้าแอปด้วยสมาร์ตโฟน เพื่อให้อุปกรณ์ทั้ง 2 นี้เชื่อมต่อกันง่ายขึ้นทำให้ไลฟ์ผ่านสมาร์ตโฟนได้สะดวกขึ้นแบบ 2 มุมในเวลาเดียวกันด้วย
- กลับมาให้ดาวน์โหลดผ่าน App Store และ Play Store ในสหรัฐฯ อีกครั้ง
TikTok กลับมาใช้บริการได้อย่างรวดเร็วหลังจากโดนแบน หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ และได้รับจดหมายจากอัยการสูงสุดของสหรัฐฯ ที่ทรัมป์ออกคำสั่งให้กระทรวงยุติธรรมขยายเวลาในการบังคับใช้กฎหมายแบน TikTok ออกไปอีก 75 วัน แต่ชะตากรรมของ TikTok ในสหรัฐฯ ยังคงไม่แน่นอน แม้ว่าทรัมป์จะให้คำมั่นสัญญาว่าจะเจรจาเพื่อให้ TikTok ยังสามารถดำเนินการในสหรัฐฯ ต่อไปได้
และ TikTok ในฐานะแพลตฟอร์มยอดนิยมแห่งปี แม้จะเจอมรสุมการโดนแบนในอเมริกา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า TikTok เป็นมากกว่าแพลตฟอร์ม แต่เป็นพื้นที่สร้างรายได้ให้กับผู้คนมากมายและแหล่งรวมเทรนด์ทั่วโลกไปแล้ว ทำให้ภาพรวมของการอัปเดตในปีนี้มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบและ AI เยอะ
ทั้งปล่อย 3 ฟีเจอร์ AI ใหม่อย่างการเปลี่ยนภาพนิ่งให้เป็นวิดีโอ (Animate Still Images), การสร้างวิดีโอจากคำสั่ง (Text-to-Video) หรือการสร้างเอฟเฟกต์เปลี่ยนฉากในวิดีโอ (AI Transitions) ซึ่งทั้งหมดสามารถใช้งานจากหน้า TikTok Composer โดยตรง และเพิ่มตัวเลือก ‘AI Alive’ เจนภาพเป็นคลิปลง TikTok Stories ได้
รวมถึง Bulletin Board เป็นช่องทางสื่อสารใหม่ภายในแอปที่ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถแชร์คอนเทนต์ เพื่อกระจายข้อความแบบ One-to-Many โดยตรงกับผู้ติดตามได้ในครั้งเดียว เป็นต้น
X

- ขึ้นค่าสมาชิก X Premium+ จาก 750 บาท เป็น 1,340 บาท/เดือน
หลังจากเปิดตัว Grok AI ราคาสมาขิก X Premium+ ก็พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปีนี้ปรับราคาสมาชิกจากเดือนละ 750 บาท เป็น 1,340 บาท ส่วนรายปีปรับจากปีละ 7,800 บาท เป็น 13,317 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัวเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับปีก่อน โดย X ให้เหตุผลว่าได้เพิ่มสิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น การใช้งานแบบไม่มีโฆษณา และฟีเจอร์ใหม่จาก Grok AI แต่ถึงอย่างนั้นหลายคนก็ยังตั้งข้อสงสัยว่าราคาสมาชิกแพงเกินไปหรือไม่
- ปรับฟีดอัลกอริทึมใหม่ด้วย Grok AI
ปีนี้หลายแพลตฟอร์มเริ่มปรับอัลกอริธึมใหม่ และเพิ่มความสามารถในการจัดการหน้าฟีดให้ผู้ใช้มากขึ้น เช่นเดียวกับ X ที่นำ Grok AI มาช่วยให้ผู้ใช้จัดอันดับตามความสนใจของคอนเทนต์ แทนการเรียงลำดับตามเวลา เพื่อให้คอนเทนต์บนหน้าฟีดตรงกับความสนใจของผู้ใช้งานมากขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนของ X เลยก็ว่าได้ เพราะที่ผ่านมาจุดเด่นของ X คือความเรียลไทม์ของคอนเทนต์
- จำกัดใส่อีโมจิในโพสต์โปรโมตได้ไม่เกิน 1 ตัว
เหตุเกิดจาก อีลอน มัสก์ ไม่ปลื้มการใส่อีโมจิเยอะ ๆ ในโพสต์โฆษณา X จึงประกาศจำกัดใส่อีโมจิในโพสต์โฆษณาได้ไม่เกิน 1 ตัว โดยอ้างว่าการใส่อีโมจิหลายตัวจะทำให้คะแนนคุณภาพของโพสต์ลดลง และอาจทำให้ต้นทุนค่าโฆษณาสูงขึ้น แต่มีเพียงประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีเท่านั้นที่ได้รับข้อยกเว้น เนื่องจากเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมการใช้อีโมจิแบบฝังลึก อย่างไรก็ตาม X ยังไม่เคยเผยข้อมูลตัวเลขให้เห็นว่าอีโมจิส่งผลกระทบต่อการโฆษณาจริงหรือไม่
- เตรียมเปิดตัว ‘Imagine’ AI สร้าง Text-to-video และ Image-to-video
ช่วงกลางปีที่ผ่านมา xAI ประกาศเตรียมเปิดตัว ‘Imagine’ เครื่องมือ AI หรือฟีเจอร์ ‘Make Video with Grok’ บน X ที่สร้างวิดีโอจากข้อความ (Text-to-video) และสร้างวิดีโอจากภาพ (Image-to-video) โดย xAI เคลมว่าโมเดลนี้สร้างวิดีโอได้เร็วที่สุดในโลก หลังจากเปิดตัวฟีเจอร์ Imagine ในช่วงครึ่งปีหลัง X ก็พยายามผลักดันฟีเจอร์ดังกล่าวเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้สมัครสมาชิก X Premium มากขึ้น
- แบนการใช้แฮชแท็กในโพสต์โฆษณา
นอกจากอีโมจิแล้วอีกหนึ่งสิ่งที่ อีลอน มัสก์ ไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่นักก็คือ ‘แฮชแท็ก’ โดยเจ้าตัวอ้างว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม และ Grokk AI สามารถจัดหมวดหมู่คอนเทนต์ได้อยู่แล้ว และการใส่แฮกแท็กเยอะเกินไปทำให้เป็น ‘Esthetic Nightmare’ หรือฝันร้ายด้านความสวยงามอีกด้วย ผลจึงออกมาเป็นการแบนการใช้แฮชแท็กในโพสต์โฆษณาแบบที่ทุกคนเห็น
- รองรับการอัปโหลดวิดีโอ 4K
อีกหนึ่งสิทธิพิเศษของผู้ใช้ X Premium ในปีนี้ คือ การโพสต์วิดีโอได้คมชัดถึงระดับ 4K หลังจากแพลตฟอร์มซุ่มพัฒนาระบบและทดสอบมาอย่างยาวนาน บวกกับจากพฤติกรรมการรับชม X บนทีวีมากขึ้น การรองรับวิดีโอ 4K จึงจะเข้ามาช่วยยกระดับประสบการณ์การรับชมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งครีเอเตอร์ก็มีโอกาสในการนำเสนอคอนเทนต์ที่มีคุณภาพบนแพลตฟอร์มมากขึ้นอีกด้วย
- เพิ่มความสามารถให้เมนชันถาม Grok ใน Reply
ในปีนี้ X เพิ่มความสามารถของ Grok บนแพลตฟอร์มในหลายจุด เพื่อให้ผู้ใช้ได้ลองใช้งานมากขึ้น โดยเมื่อต้นปี X ได้เพิ่มให้ผู้ใช้สามารถเมนชันถาม Grok ใน Reply ได้ด้วย ซึ่ง Grok จะเมนชันตอบคำถามกลับแบบอัตโนมัติ พร้อมกับคำอธิบายสั้น ๆ ปัจจุบันฟีเจอร์ดังกล่าวถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในโพสต์ที่มีภาพและวิดีโอ ซึ่งส่วนมากผู้ใช้มักถามว่า “เป็นรูปจริงหรือ AI” หรือ “เหตุการณ์ในภาพ/วิดีโอนี้เกิดขึ้นที่ไหน” เป็นต้น
ถึงแม้จำนวนผู้ใช้ X จะลดลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน แต่ปีนี้ถือว่าแพลตฟอร์มได้มีการปรับและพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ มากพอสมควร โดยเฉพาะการหันมาโฟกัสด้าน AI มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็น การเปิดตัวฟีเจอร์ ‘Companions’ AI Chatbot ในรูปแบบของ 3D Avatar บน Grok หรือ การปรับ UI สำหรับวิดีโอแบบใหม่ด้วย Grok เป็นต้น
รวมถึงการเปิดตัวฟีเจอร์ Chat ระบบข้อความใหม่แทนที่ DM, ฟีเจอร์การ Draft โพสต์ข้ามอุปกรณ์ และการเปิดตัวบัญชี Bangers รวมโพสต์ที่มียอดเอนเกจเมนต์สูงที่สุด เพื่อไม่ให้พลาดเทรนด์ที่คนพูดถึงมากที่สุดบนแพลตฟอร์มนั่นเอง
LINE

- LINE ‘Premium Unsend’ ยกเลิกข้อความพรีเมียมกว่าเดิม
LINE Premium เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้ผู้ใช้สามารถยกเลิกข้อความแบบ ‘Premium Unsend’ ที่มีทั้ง Silent Unsend ยกเลิกข้อความได้แบบไร้ร่องรอย ในกรณีที่อีกฝ่ายยังไม่เห็นข้อความ และ 7-Day Unsend ยกเลิกข้อความได้ภายใน 7 วันหลังส่ง รวมถึง LINE ยังประกาศปรับระยะเวลา Unsend ข้อความของผู้ใช้ทั่วไปจาก 24 ชั่วโมง เหลือเพียง 1 ชั่วโมงหลังส่งเท่านั้น
- เปิดตัว ‘LINE GIFT’ สร้างเทรนด์ e-Gifting
ต่อยอดแชตสู่วัฒนธรรม e-Gifting ด้วย ‘LINE GIFT’ ให้ทุกคนส่งของขวัญ e-Voucher ให้กันในวันสำคัญผ่านแชต โดยของขวัญมีให้เลือกครอบคลุมตั้งแต่แบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงแบรนด์ไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้ยังมีให้เลือกจัดส่งของขวัญถึงบ้าน พร้อมฟีเจอร์ Wishlist ให้ผู้รับระบุสิ่งที่อยากได้ล่วงหน้า และฟีเจอร์ Scheduled Send เพื่อให้กำหนดเวลาส่งล่วงหน้าอีกด้วย เรียกว่าสะดวก ง่าย จบที่แอปเดียว ตอบโจทย์คนเมืองที่มีชีวิตที่เร่งรีบแน่นอน
- ‘Keep’ ปิดตัว 28 ส.ค.
ปิดฉากบริการฝากไฟล์ฟรีอย่าง ‘LINE Keep’ ที่ประกาศปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เดิมที LINE Keep ทำหน้าที่เป็นพื้นที่เก็ยข้อมูล เช่น รูป, วิดีโอ, ข้อความ, ลิงก์ หรือไฟล์ที่อยู่ในห้องแชตที่มีขนาดไม่เกิน 1GB ปัจจุบันหากผู้ใช้ต้องการเก็บข้อมูลส่วนตัวชั่วคราว สามารถใช้ Keep Memo ที่เป็นห้องแชตแยกไว้ส่งข้อความหาตัวเองได้เช่นกัน
- ฟีเจอร์ ‘Chat Folder’ จัดแชตให้เป็นระเบียบ
จัดระเบียบแชตใน LINE ให้เป็นหมวดหมู่ได้ด้วย ‘Chat Folder’ ที่แบ่งแท็บแชตเป็นหมวด Friends, Groups, Official Account และ OpenChats เพียงแค่เข้าไปที่ตั้งค่า เลือกเมนู LINE Labs และเปิดใช้งานฟีเจอร์ Chat Folder ส่วนการใช้งานบน PC จะพิเศษกว่าอุปกรณ์อื่น ๆ เนื่องจากผู้ใช้สามารถสร้างหมวดหมู่เพิ่มเติมได้ตามต้องการ แต่จะเปิดได้เฉพาะบน PC เท่านั้น
- ‘LINE ALERT’ อัปเดตบัญชีแจ้งเตือนภัยพิบัติร้ายแรง
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของข้อความเตือนภัยพิบัติเป็นอย่างมาก LINE จึงสร้าง ‘LINE ALERT’ บัญชีแจ้งเตือนภัยพิบัติร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วม พายุ หรือแผ่นดินไหว โดยข้อมูลส่งตรงจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ และกรมอุตุนิยมวิทยาฯ ให้ทุกคนอุ่นใจ รู้เร็ว ทั่วถึง ทันเวลา
- เวอร์ชันเบราว์เซอร์ Chrome สิ้นสุดให้บริการครึ่งปีแรก 2569
ใครที่ยังใช้ LINE บนเบราวเซอร์ Chrome และ Whale รีบโหลดโปรแกรมด่วน! เพราะ LINE กำลังจะปิดตัวบนเบราวเซอร์ทั้ง Chrome และ Whale ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2026 จากเดิมที่จะหยุดให้บริการในวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา
- อัปเดตฟีเจอร์ดึง Text แบบไม่ต้องพิมพ์ให้เมื่อย
ฟีเจอร์อำนวยความสะดวกสำหรับสายขี้เกียจพิมพ์กับฟีเจอร์ ‘ดึง Text จากภาพ’ เพียงแค่คลิปรูปที่ต้องการดึงข้อความ จากนั้นกดไอคอนสัญลักษณ์ตัว A ระบบจะทำการไฮไลต์ Text เพื่อให้ผู้ใช้กดคัดลอก งานนี้ใครขี้เกียจพิมพ์ให้เมื่อยมือก็สามารถถ่ายภาพแล้วดึง Text คัดลอกและส่งได้เลย!
นอกจากการอัปเดตหลัก ๆ ที่ยกตัวอย่างไปแล้ว ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น LINE PREMIUM ที่เปิดให้สามารถสร้างมัลติโปรไฟล์ และ Message Backup ได้ จ่ายเพียงเดือนละ 169 บาท เท่านั้น หรือฟีเจอร์ ‘Reaction’ ข้อความ ที่เปิดโอกาสให้คู่สนทนาสร้าง Interaction กับเราได้มากขึ้นอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่า LINE ยังคงเป็นแพลตฟอร์มแชตที่คนไทยใช้งานเป็นหลัก ที่สำคัญแพลตฟอร์มพยายามพัฒนาแอปให้เป็นมากกว่าแชตเสมอ เห็นได้จากการแตกแขนงบริการออกมาในด้านต่าง ๆ เช่น MyShop, LINE OA, LINE Ads, LINE STICKERS, LINE TODAY และ LINE Pay ที่เรียกว่าครบตั้งแต่แชต ซื้อ-ขายของ ยิงโฆษณา สร้างผลงานและรายได้ ติดตามข่าวสาร ไปจนถึงใช้จ่ายแบบครบวงจร
E-Commerce

- Lazada เตรียมขึ้นค่าธรรมเนียม และ Shopee ขึ้นค่าแพลตฟอร์ม
พ่อค้าแม่ค้าต้องปรับตัวอีกครั้ง หลังจากช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา Lazada ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม 2% จากเดิม 11% เป็น 13% แต่สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโปรแกรม Premium Package และส่งฟรีพิเศษกับ Lazada จะได้ลดส่วนต่างของค่าธรรมเนียมเดิม ส่วนฝั่ง Shopee ก็ปรับขึ้นราคาค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม 1.07 บาททุกคำสั่งซื้อ ซึ่งกรณีนี้จะส่งผลกระทบต่อร้านค้าที่ขายสินค้าราคาต่ำแต่เน้นจำนวนออเดอร์มากที่สุด
- Lazada AI Lazzie ผู้ช่วยชอปปิง
เปิดประสบการณ์ชอปปิงกับ ‘Lazzie’ AI ผู้ช่วยชอปปิงส่วนตัว จาก Lazada ที่มีทั้งแชตบอตคอยตอบโต้แบบเรียลไทม์ ช่วยค้นหาและแนะนำสินค้าที่ต้องการง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ LazzieChatHunt ที่ให้ทุกคนแชตเพื่อปลดล็อกรางวัลสุดเซอร์ไพรซ์ก่อนใคร
- Lazada จับมือ YouTube Shopping
อีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการอีคอมเมิร์ซ ความร่วมมือระหว่าง Lazada และ YouTube Shopping ต่อยอดความสำเร็จด้าน Affiliate หลังจากที่ทาง Shopee นำร่องไปก่อนหน้านี้ โดยการร่วมมือในครั้งนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่อย่าง ‘Auto Timestamps’ ที่ช่วยแท็กสินค้าอัตโนมัติเมื่อมีการกล่าวถึงสินค้าในวิดีโอ เพื่อช่วยประหยัดเวลาครีเอเตอร์ในการมานั่งค้นหาและแท็กสินค้า
- เปิดตัว ‘Sponsored Max’ AI ช่วยเพิ่มยอดขาย
‘Sponsored Max’ ตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้ง ช่วยเพิ่มยอดการเข้าชมจากทั่วทั้งแพลตฟอร์ม พร้อมเปลี่ยนยอดชมเป็นยอดขาย และเพิ่มความสามารถในการควบคุมได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีแคมเปญให้เลือก 2 แบบ คือ Sponsored Max – Store ที่มี AI ช่วยเลือกสินค้าที่จะเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้า และ Sponsored Max – Product ตัวช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าผ่านการช่วยแนะนำสินค้าคุณภาพดีให้กับลูกค้า
- Shopee เปิดตัว ‘Original Creator’ ทำคอนเทนต์วิดีโอรับค่าคอม 3%
โปรแกรมใหม่สำหรับสายครีเอเตอร์ ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาจาก Shopee กับ ‘Original Creator’ ที่ชวนเหล่าครีเอเตอร์สายวิดีโอมาทำคอนเทนต์รีวิวหรือป้ายยาสินค้าบนแพลตฟอร์ม เพื่อเปิดโอกาสสร้างรายได้ รับค่าคอมมิชชันถึง 3% จากปกติที่ครีเอเตอร์ทั่วไปจะได้รับค่าคอมมิชชันจากการทำวิดีโอเพียง 1% เท่านั้น
- Shopee เปิดโปรแกรม ‘Affiliate for Seller’
‘Affiliate for Seller’ สำหรับร้านค้าที่เปิดให้ผู้ขายสามารถนำลิงก์ของสินค้าจากร้านตัวเองไปโปรโมตผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอื่น ๆ และหากลูกค้ากดเข้ามาซื้อสินค้า ผู้ขายก็จะได้รับโค้ดส่วนลดพิเศษจาก Shopee 30% สูงสุด 150 บาท ซึ่งแจกให้เฉพาะคนที่กดเข้าไปในลิงก์เท่านั้น รวมถึงหากมีคนกดซื้อสินค้าผ่านลิงก์ ผู้ขายจะได้รับค่าคอมมิชชัน 8% สูงสุด 225 บาท แต่ถ้ามีคนกดลิงก์แต่ซื้อสินค้าจากร้านอื่น ผู้ขายจะไม่ได้ค่าคอมมิชชัน ซึ่งแตกต่างจากลิงก์ Affiliate ของฝั่งครีเอเตอร์ที่ได้ค่าคอมมิชชันทุกคำสั่งซื้อ
- ShopeeFood Affiliate ฟีเจอร์ใหม่สำหรับครีเอเตอร์สายรีวิวอาหาร
โอกาสใหม่สำหรับครีเอเตอร์สายอาหาร เพราะ Shopee เปิดโปรแกรม ‘ShopeeFood Affiliate’ ชวนครีเอเตอร์มาสร้างรายได้ง่าย ๆ เพียงแชร์ลิงก์อาหารบน ShopeeFood ก็สามารถรับค่าคอมมิชชันสูงสุด 50% ทันที แถมยังมีการเช็กยอดรายวัน และได้โบนัสอีกเพียบ
ช่วง 1-2 ปีหลังมานี้ ครีเอเตอร์เข้ามามีบทบาทในตลาดอีคอมเมิร์ซหลายส่วน โดยเฉพาะการทำคอนเทนต์วิดีโอเพื่อแปะลิงก์ Affiliate นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทั้ง Lazada และ Shopee เลือกจับมือกับแพลตฟอร์มวิดีโออย่าง YouTube Shopping รวมถึง Shopee เองก็ได้มีการขยายโปรแกรม Affiliate มาสู่ฝั่งผู้ขายเพิ่มเติมอีกด้วย
นอกจากนี้เรายังเห็นการนำ AI มาช่วยยกระดับการใช้งานทั้งพาร์ตของผู้ซื้อและผู้ขายของทั้งสองแพลตฟอร์ม ตอกย้ำให้เห็นถึงการใช้ AI ในการ Personalized ในสิ่งที่แต่ละคนต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้แพลตฟอร์มได้อย่างตรงจุดเลยทีเดียว
AI

- Google เปิดตัว ‘Nano Banana Pro’
‘Nano Banana Pro’ AI ตัวใหม่จาก Google ที่สร้างกระแสการเจนภาพแบบถล่มทลายจนต้องมีการจำกัดการใช้งานให้สามารถเจนภาพได้ 2 ภาพต่อวันอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะความฉลาดและสมจริงของ Nano Banana Pro ที่สามารถสร้างภาพ Infographic ได้อย่างสวยงาม แถมยังสามารถดึงข้อมูลจาก Google Search มาทำ Art Work ได้ด้วย
- Adobe Firefly เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่
ในที่สุด ‘Firefly Video’ ก็เปิดให้ใช้งานแบบสาธารณะ แถมยังนำไปใช้งานเชิงพาณิชย์ได้ โดยผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความ (Text-to-video) หรือสร้างวิดีโอจากภาพ (Image-to-video) ที่สำคัญ Firefly Video ยังสามารถทำงานร่วมกับแอปต่าง ๆ บน Creative Cloud ได้อีกด้วย ซึ่งราคาค่าสมาชิกเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 380 บาทต่อเดือน สามารถสร้างวิดีโอได้ 20 คลิป
- OpenAI เปิดตัว ‘Sora’ ในไทยอย่างเป็นทางการ
หลังกระแสตอบรับที่สหรัฐฯ ดีเกินคาดจนยอดดาวน์โหลดทะลุล้าน ‘Sora’ ได้มาเปิดตัวในประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกในเอเชีย พร้อมรองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบ รวมถึงยังเปิดตัวในประเทศเวียดนามและไต้หวันเช่นกัน โดยขณะนี้สามารถดาวน์โหลดผ่าน iOS และใช้งานฟีเจอร์พื้นฐาน รวมไปถึงฟีเจอร์ Character Cameos ที่สร้างตัวละครจากสัตว์เลี้ยง ภาพวาด หรือสิ่งของในชีวิตประจำวันได้ด้วย
- Adobe เผยฟีเจอร์ AI ล่าสุดในงาน Adobe Max 2025
สร้างความตื่นเต้นให้กับคนในวงการทั้งครีเอทีฟ กราฟิก และตัดต่อไม่น้อย กับการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ ใน Adobe Max 2025 ที่ยกทัพฟีเจอร์และเครื่องมือที่ทำงานโดย AI มายกระดับทั้งการตัดต่อภาพ, วิดีโอ และเสียง เช่น ‘Project Frame Forward’ เครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้แก้ไขวิดีโอได้โดยไม่ต้อง Mask เฟรมแบบละเอียด, ‘Project Light Touch’ ใช้ AI ช่วยจัดแสงในภาพนิ่งได้อย่างอิสระ หรือ ‘Project Clean Take’ เครื่องมือช่วยแก้ไขเสียงพูดในวิดีโอ โดยไม่ต้องอัดใหม่ เป็นต้น
- Canva เปิดตัว ‘Design Model’ โมเดลออกแบบตัวแรก
‘Design Model’ โมเดลด้านการออกแบบตัวแรกของ Canva ซึ่งพัฒนามาจาก Pain Point ของผู้ใช้งานจริงเกี่ยวกับโมเดล AI ที่ไม่สามารถแก้ไขภาพด้วยคำสั่งที่ซับซ้อนได้ Design Model นี้จึงถูกสร้างเพื่อให้ผู้ใช้สามารถต่อยอด และปรับแต่งผลงานของตัวเองได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องสร้างขึ้นใหม่ทุกครั้ง แถมยังใช้งานได้กับหลายฟอร์แมต ไม่ว่าจะเป็น โซเชียลมีเดีย, พรีเซนเทชัน หรือเว็บไซต์
- Google เปิดตัวแท็บใหม่ ‘AI Mode’
ถ้าหาอะไรไม่เจอก็แชตถาม ‘AI Mode’ ได้เลย! เพราะตอนนี้ Google เพิ่มแท็บใหม่ให้ผู้ใช้สามารถค้นหาหรือสอบถามข้อมูลกับ AI Chatbot ได้แล้ว หลังจากผู้ใช้ป้อนคำสั่ง และเลือกการค้นหาด้วย AI Mode แล้ว จะมีผลลัพธ์ปรากฎขึ้นเป็นข้อมูลแบบสรุปย่อจากหลาย ๆ เว็บไซต์บน Google พร้อมการอ้างอิงตามแหล่งข้อมูลการค้นหาตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ให้เข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมต่อได้
- ‘Getty Images’ ควบบริษัทกับ ‘Shutterstock’ ยกระดับ Gen AI
การควบรวมของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านการผลิตคลัง Creative Asset และเครื่องมือ Gen AI โดยทั้ง Getty Images และ Shutterstock ถือเป็นทั้งคลังภาพและวิดีโอที่คนทั่วโลกเลือกใช้ ดังนั้นการร่วมมือครั้งนี้จะยิ่งทำให้การเป็นบริษัท Visual Content แข็งแกร่งขึ้นไปอีก เพราะมีทั้งเครื่องมือและคลังภาพที่ครบครันกว่าเดิม
ในปีนี้วงการ AI เดินหน้าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะฝั่งครีเอทีฟและแพลตฟอร์ม ทั้ง Google ที่ผลักดัน AI เข้าสู่ชีวิตประจำวันผ่าน AI Mode, Gemini 3 และเครื่องมือถ่ายทำอย่าง Flow รวมถึงการนำ Nano Banana เข้ามาช่วยทั้งการค้นหาและแก้ไขภาพ ขณะที่ OpenAI และ Adobe ก็เร่งยกระดับ Gen AI ให้ใช้งานเชิงพาณิชย์ได้จริง ตั้งแต่ Sora และ Firefly Video
นอกจากนี้ AI ยังสามารถทำงานข้ามเครื่องมือได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็น Claude AI ที่สั่งออกแบบบน Canva, ChatGPT Group Chat, Image Generation จาก GPT-4o ที่สร้างปรากฏการณ์ฃไวรัล หรือ YouTube Shorts ที่ใช้ Veo 2 ในการสร้างคอนเทนต์สั้น ตอกย้ำให้เห็นว่าอุตสาหกรรม AI กำลังก้าวสู่ยุคที่เข้ามาเป็นตัวช่วยในเรื่องของความสร้างสรรค์อย่างเต็มรูปแบบ
และจากที่ RAiNMaker สรุปถึงการอัปเดตที่ควรรู้ของแพลตฟอร์มแห่งปีไปแล้ว ก็นับว่ามีหลายฟีเจอร์ที่เป็นการอัปเดตสำคัญ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ แบรนด์หรือว่าเอเจนซีก็น่าจะเตรียมพร้อมปรับและเปลี่ยนไปสู่อะไรใหม่ ๆ กันในปี 2026
โดยเฉพาะฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มที่เริ่มมี AI เข้ามามากขึ้นทั้งการเจนคอนเทนต์ หรือการวิเคราะห์อินไซต์ก็ตาม ซึ่งในอนาคตแต่ละแพลตฟอร์มจะมีอัปเดตอะไรอีกก็รอติดตามทางเพจกันได้เลย!