iCreator ReportInterview

Avatar

patterest September 25, 2025

บทเรียนสำคัญจาก RUBSARB คิดอย่างไรให้คอนเทนต์กลายเป็นธุรกิจ

เส้นทางของครีเอเตอร์ที่อยู่ในวงการมาอย่างยาวนาน มักเต็มไปด้วยการเปลี่ยนผ่าน และการตัดสินใจครั้งสำคัญ ตั้งแต่วันที่ยังไม่มีระบบสร้างรายได้ ไปจนถึงยุคที่การแข่งขันสูง พร้อมกับแพลตฟอร์มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งความท้าทายเหล่านี้คือบททดสอบที่ทำให้ครีเอเตอร์ต้องมองไกลกว่าการผลิตคอนเทนต์เพียงอย่างเดียว 

หนึ่งในตัวอย่างชัดเจนคือ คุณอิสระ ฮาตะ จาก Rubsarb Production ครีเอเตอร์ที่เติบโตจากการทำงานคนเดียว จนกลายเป็นผู้บริหารบริษัทคอนเทนต์ของตัวเอง ผ่านประสบการณ์ทั้งในช่วงรุ่งเรือง และช่วงต้องปรับตัวอย่างหนัก บทสัมภาษณ์นี้จะพาไปสำรวจเส้นทาง ความคิด รวมถึงหลักการทำงาน ที่ช่วยให้สามารถยืนระยะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของวงการครีเอเตอร์ได้จนถึงวันนี้ 

จุดเริ่มต้นในการทำคอนเทนต์เป็นอาชีพ

คุณอิสระเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นว่า ในยุคนั้นคำว่า ‘คอนเทนต์’ ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก ทำให้สิ่งที่ครีเอเตอร์ทำส่วนใหญ่จะถูกเรียกว่ารายการมากกว่า โดยช่วงแรกที่คุณอิสระทำคอนเทนต์บน YouTube จะเป็นการร่วมงานกับ คุณวัฒน์-วัฒนชัย ตรีเดชา ซึ่งปัจจุบันเป็นนายกสมาคมบอร์ดเกมแห่งประเทศไทย 

ซึ่งบทบาทแรกของคุณอิสระในการทำคอนเทนต์คือ การตัดต่อ โดยได้มีการนำแนวคิดด้านละคร ที่เป็นหนึ่งในความชอบส่วนตัวมาผสมผสานกับการเล่าเรื่อง จากนั้นถึงเริ่มทำช่อง VRZO เพราะเห็นว่าทักษะที่ตัวเองสามารถต่อยอดได้ แม้ว่าในยุคนั้นการทำ YouTube ยังไม่สามารถสร้างรายได้ แต่เมื่อคอนเทนต์เริ่มมีผู้ชมเพิ่มขึ้น รวมถึงมีระบบ Monetization เข้ามา ทำให้เลือกที่จะเดินหน้าทำต่อ เพราะสนุกกับงาน และอยากอยู่กับมันต่อไป 

อุปสรรคในช่วงเริ่มต้นเส้นทางครีเอเตอร์ 

หนึ่งในอุปสรรคสำคัญคือ การทำงานโดยไม่มีรายได้ และไม่รู้ว่าควรนิยามตัวเองว่าอะไร แม้แต่พ่อแม่ยังเข้าใจว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นรายการโทรทัศน์ แต่เมื่อมีคนถามว่ารับชมได้จากช่องทางไหน ถ้าเราตอบไปว่า ‘YouTube’ คนในยุคนั้นก็จะตั้งคำถามต่อว่าลงแล้วทำไมต่อ ซึ่งต่างจากปัจจุบันที่ทุกคนรู้จัก และเข้าใจแพลตฟอร์มนี้เป็นอย่างดี 

โดยคุณอิสระยังเล่าถึงสิ่งที่ครีเอเตอร์ทุกคนเจอร่วมกันนั่นคือ การผันผวนของยอดวิว เพราะบางคลิปก็กลายเป็นไวรัล แต่บางคลิปกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เป็นแบบนี้ไปจนถึงจุดหนึ่งที่เริ่มรู้สึกว่าย่ำอยู่กับที่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ส่งผลให้เกิดอาการหมดไฟ และไอเดียตัน ซึ่งผู้ชมในช่วงนั้นน่าจะสัมผัสได้ผ่านผลงานที่ถูกนำเสนอออกมา 

นอกจากนี้ในช่วงเริ่มตั้งบริษัท เรายังไม่มีความรู้เรื่องการบริหา ทำให้ช่วงแรกที่ตั้งทีมขึ้นมาทุกอย่างเลยกลายเป็นสิ่งใหม่มาก เมื่อเราทำต่อไปด้วยความไม่รู้ และโฟกัสเพียงความสนุก ร่วมกับการทุ่มเทเต็มที่โดยไม่คำนึงถึงการลงทุนที่เสียไป สุดท้ายจึงเกิดความท้อ เพราะไม่รู้ว่าจะมีรายได้เข้ามาเมื่อไร 

ถอดบทเรียนจากการตั้งบริษัทครั้งแรก 

เมื่ออุปสรรคผ่านไป และช่องก็เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น ทำให้เราเลือกเน้นที่ปริมาณในการผลิตงานออกมาให้ทันกับความต้องการ พร้อมกับการขยายทีมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สามเหลี่ยมบริหารของบริษัทเสียสมดุล ซึ่งเหตุการณ์นี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่เราจำมาจนถึงปัจจุบัน 

คุณอิสระมองว่า ครีเอเตอร์ควรตั้งเป้าหมายด้านรายได้ ทั้งการบริหารกำไร และการถือหุ้น ซึ่งเป็นภาพรวมที่ต้องพิจารณาเมื่อมีการสร้างทีม อย่างไรก็ตามหนึ่งสิ่งที่ RUBSARB ให้ความสำคัญอยู่ตลอดคือการรับคน เพราะมันเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายคงที่ระยะยาว (Fix Cost) ที่ไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางของอนาคตได้แน่นอน 

คำแนะนำสำหรับครีเอเตอร์ที่ต้องการเปิดบริษัทของตัวเอง 

ในช่วงแรกถ้าเรายังมีไฟก็ทำคนเดียวไปก่อน เพื่อเรียนรู้ทุกขั้นตอนของงาน จนเรามีลูกค้าเข้ามาในระดับที่รู้สึกเหนื่อยแล้ว ก็ค่อย ๆ รับผู้ช่วยมาแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะ Monetization ของแต่ละแพลตฟอร์มส่วนใหญ่ออกแบบมาให้ทำงานคนเดียว หรือเหมาะกับทีมเล็กไม่เกิน 3 คน การมีทีมใหญ่ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้นจริง แต่รายได้จะลดลงตามลำดับด้วย 

และไม่ว่ายุคนี้ หรือยุคไหนถ้าเราอยากมีผู้ช่วยสักคน สิ่งแรกที่ควรจะผลักออกจากตัวเราคือการตัดต่อ เพราะเป็นงานที่ใช้พลัง รวมถึงกินเวลานานทั้งในด้านการทำงาน และการหาคนให้เหมาะกับสไตล์การตัดต่อของช่องเรา ซึ่งเราจะต้องถ่ายทอดความต้องการของเราออกไปให้ได้มากที่สุด เพราะการมีทีม หรือตั้งบริษัทเป็นการลงทุนเพื่อซื้อเวลา ทำให้เราออกไปหาไอเดียมาทำคอนเทนต์ได้มากขึ้น 

นอกจากนี้ในยุคที่คอนเทนต์ล้นตลาด การสร้างความโดดเด่นของครีเอเตอร์จำเป็นต้องมาพร้อม ‘อีโก้’ เพราะถ้าเราไม่ถือคำนี้เอาไว้ ก็อาจไหลไปตามกระแสจากความคิดเห็นทั้งบวก และลบของผู้ชม ซึ่งหลายคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่สามารถทำให้จุดยืนของเราสั่นคลอน ส่งผลให้เราจะต้องรักษาสิ่งนี้ไว้ให้มั่นคง 

ช่องทางการสร้างรายได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 

ถ้าเปรียบเทียบระหว่างอดีตกับปัจจุบันคุณอิสระมองว่าช่องทางการสร้างรายได้ของครีเอเตอร์ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพราะจุดเริ่มต้นส่วนใหญ่จะมาจากการรับสปอนเซอร์ แต่จะไปแตกต่างกันตรงที่ปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งแคมเปญ และชาเลนจ์ที่แตกต่างจากยุคก่อนที่จะสื่อสารออกไปแค่การพูด Key Messeage เท่านั้น 

โดยทุกวันนี้ยังมีรูปแบบการสร้างรายได้ที่แพลตฟอร์มมอบให้โดยตรง เช่น ระบบสมัครสมาชิกเพื่อสนับสนุนช่อง รวมถึงการขายสินค้า (Merchandise) และการสร้างแบรนด์ต่อยอดจากคอนเทนต์ แม้แต่แบรนด์เองก็ลงมาทำคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียแล้วเช่นกัน 

ส่งผลให้ตอนนี้แนวโน้มรายได้จึงเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ซึ่งในมุมบริษัทขนาดเล็ก แน่นอนว่าคอนเทนต์คือผลผลิตหลัก แต่เมื่อธุรกิจขยายใหญ่ขึ้นครีเอเตอร์จะต้องประเมินว่า Storytelling บางอย่างของช่องมีศักยภาพพอจะพัฒนาเป็นแบรนด์ หรือองค์กรได้หรือไม่ โดยทั้งหมดต้องอาศัยการสร้างตัวตนของ Branding ให้แข็งแรง 

แล้วแนวทางในการสร้าง Merchandise ของ RUBSARB คืออะไร 

สำหรับ RUBSARB จุดเริ่มต้นของ Merchandise มาจากความตั้งใจของ คุณจอร์จ-ปรีโรจน์ เกษมศานติ์ ผู้ก่อตั้ง ที่อยากทำแบรนด์เสื้อขึ้นมา เรียกได้ว่าหลังจากเปิดขายครั้งแรกมาจนถึงตอนนี้ก็ได้รับ Feedback ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากคอนเทนต์ที่เราทำออกไปเป็นการสร้าง Branding มาโดยตลอด

ทำให้เรามีฐานแฟนคลับที่เราจะสามารถหยิบเรื่องราวขึ้นมาเพื่อสร้างสินค้าขึ้นมา โดยคนในคอมมูนิตี้ก็พร้อมที่จะซื้อเพื่อสนับสนุนเรา ทำให้การเปิดขายแต่ละครั้งจะ Sold Out อย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนี้เราก็พยายามต่อยอดสินค้าออกไปในระดับธุรกิจ และมีเป้าหมายคือการทำให้แบรนด์สามารถยืนระยะเพื่อเติบโตได้อย่างยั่งยืน 

ความมั่นคงของอาชีพครีเอเตอร์ 

จริง ๆ แล้วอาชีพครีเอเตอร์แทบไม่มีอาชีพไหนสามารถเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน ถ้าใกล้เคียงที่สุดคืออาชีพดารา ซึ่งปัจจุบันเริ่มมาร่วมทำคอนเทนต์ในช่องของครีเอเตอร์มากขึ้น เพราะเมื่อเทรนด์เปลี่ยนไป ดาราหลายคนจึงเปิดช่องของตัวเอง และกลายเป็นครีเอเตอร์ เนื่องจากปัจจุบันทุกคนสามารถเป็นเจ้าของสื่อของตนเองได้ เพียงแค่มีโทรศัพท์เครื่องเดียว 

เพราะฉะนั้นความมั่นคงของอาชีพครีเอเตอร์ที่มีการสร้างฐานผู้ชมมาตั้งแต่ก่อนที่ดาราจะลงมาเป็นครีเอเตอร์ด้วยตัวเอง นอกจากจะต้องแข่งขันกับผู้เล่นที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังต้องต่อสู้กับอัลกอรึทึมที่เป็นเหมือนยาเสพติดอัดยอดวิวให้สูงในช่วงแรก แต่พอระยะหนึ่งผ่านไปเอนเกจที่ได้ก็จะร่วงไปสู้คำว่า Organic View ทำให้หลายคนรับมือไม่ไหวก็จะเดินออกจากเส้นทางครีเอเตอร์ไป 

การเติบโตบนแพลตฟอร์ม

แต่ละช่วงวัยของทุก Generation จะโตมากับสิ่งที่ฮิตในเวลานั้น เช่น Gen Z ที่โตมากับ YouTube เมื่อเวลาผ่านไปก็มีกำลังจ่ายมากขึ้น ส่งผลให้ช่องของเราสามารถอยู่ได้จากการสนับสนุนของผู้ติดตามกลุ่มนี้ ซึ่งในอนาคตหากเราทิ้งผู้ชม Gen Z ตอนปลายหรือ Gen Alpha ด้วยการไม่ทำ Short-form แล้ว

แม้ว่าปัจจุบันช่วงอายุนี้ยังมีกำลังจ่ายไม่มาก แต่เมื่อวันหนึ่งที่ทุกคนมีกำลังจ่ายขึ้นมา เราอาจไม่เหลือฐานผู้ชมกลุ่มนี้อยู่เลย ซึ่งคุณอิสระแนะนำว่า เพื่อกันความไม่แน่นอนในอนาคตครีเอตอร์ต้องลงไปทำคอนเทนต์ในแพลตฟอร์มเกิดใหม่ทุกครั้ง เพราะสุดท้ายจะมีผู้ที่อยู่รอดจากการปรับตัวในตลาดเสมอ  

สำหรับ RUBSARB ที่ทำคอนเทนต์มาจาก Long-form การลงไปทำคอนเทนต์ประเภท Short-form จะไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในแพลตฟอร์มนั้น แต่เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายใหม่ค้นพบเรา ไปพร้อม ๆ กับการทดลองสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ไปด้วย 

DO or Don’t ในการร่วมงานกับแบรนด์และเอเจนซี 

หลักสำคัญในการทำงานร่วมกับแบรนด์ หรือเอเจนซีจะขึ้นอยู่กับ Common Sense ของคนทำงานมากกว่า แต่คุณอิสระเล่าว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือ เมื่อก่อนลูกค้าหรือเอเจนซีจะเข้ามาตรวจความถูกต้องหน้างาน พอไม่มีจุดนี้แล้ว ก็ทำให้ความเป็นมืออาชีพของครีเอเตอร์บางส่วนลดลง และอาจเกิดพฤติกรรมที่กระทบต่อภาพรวมวงการคอนเทนต์ได้ 

แต่สิ่งสำคัญที่ครีเอเตอร์ควรทำคือ การเข้าใจธรรมชาติของตัวเอง และศึกษาฐานผู้ชมว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร? ติดตามเราเพราะอะไร? เพราะแบรนด์ส่วนใหญ่จะเลือกทำคอนเทนต์ที่สามารถสื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นถ้าเรามีความเข้าใจก็จะสามารถนำเสนอภาพที่ชัดเจน และตอบโจทย์ได้ง่ายขึ้น 

โดยครีเอเตอร์ควรจะต้องคงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ เพราะผู้ชมส่วนใหญ่ติดตามเราด้วยเหตุผลนี้ หากวันหนึ่งมีสปอนเซอร์เข้ามาแล้วเราเลือกที่จะเปลี่ยนตัวตนไปจากเดิม แน่นอนว่าผู้ชมจะรับรู้ได้ และอาจทำให้ฐานผู้ติดตามไม่มั่นคง ส่งผลให้แบรนด์ และเอเจนซีหันไปเลือกครีเอเตอร์ที่พร้อมมากกว่าแทน 

แนวทางในการปรับตัวเพื่อเป็นที่จดจำ และยืนระยะในวงการครีเอเตอร์ได้อย่างยาวนาน 

คุณอิสระมองว่าพื้นฐานของการสร้างผลงาน คือการเสพผลงานของผู้อื่นเพื่อหาไอเดียมาต่อยอด ไปพร้อมกับการสังเกตว่างานของเราซ้ำ ๆ หรือทำให้ผู้ชมรู้สึกเบื่อหรือไม่ เพราะถ้าหากคำตอบคือ ใช่ เราก็จำเป็นจะต้องค้นหาสิ่งใหม่เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองให้เจอ 

โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือการมองว่าคนรอบตัวของปฏิบัติกับเรายังไง หรือชอบตัวตนของเราเพราะอะไร ซึ่งการจับโมเมนต์เหล่านี้ จะทำให้ครีเอเตอร์ค้นพบคาแรกเตอร์ของตัวเอง และนำมาเล่าเพื่อต่อยอดตัวตนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดคือการหยิบเอาทักษะจากความสนใจของเรามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลงาน 

นอกจากนี้ถึงตัวเลขหลังบ้านจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าเราทำคอนเทนต์ออกไปด้วยความชอบที่อยากจะนำเสนอเรื่องราวนั้นออกไป ถึงแม้ว่ายอดวิวอาจจะแตกต่างไปบ้าง แต่มันก็เป็นการเพิ่มรสชาติให้กับวงการครีเอเตอร์ และสร้างการจดจำใหม่ ๆ ไปพร้อมกับการพัฒนาคุณภาพของงานอย่างต่อเนื่อง 

การใช้ AI และข้อควรระวังเพื่อรับผิดชอบต่อสังคม 

RUBSARB เองมีการใช้ AI มาช่วยในคอนเทนต์ประเภท Short-form เช่น การถอดซับจากคลิป ขณะที่วิดีโอแบบ Long-form ยังต้องพึ่งโปรแกรมตัดต่อขนาดใหญ่อย่าง Adobe ที่ในตอนนี้อาจไม่มีฟีเจอร์มากนัก แต่โดยส่วนตัวแล้วคุณอิสระอยากให้โปรแกรมต่าง ๆ สามารถพากย์เสียงเป็นภาษาอื่น และการขยายความละเอียดของวิดีโอ เช่น จาก 1080p เป็น 4K เพื่อประหยัดทรัพยากร รวมถึงเวลาสำหรับการสร้างวิดีโอ 

แต่ข้อควรระวังสำหรับครีเอเตอร์ที่ใช้ AI ในการคิดไอเดีย แม้ว่า AI จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าหากทุกคนใช้วิธีเดียวกันโดยไม่ต่อยอด จะส่งผลให้ฐานความคิดคล้ายกันหมด และเมื่อคู่แข่งในตลาดคอนเทนต์เพิ่มขึ้น จะทำให้การสร้างความแตกต่างยากยิ่งขึ้น ดังนั้น AI ควรถูกใช้เพื่อทุ่นแรง ประหยัดทรัพยากร รวมถึงเพิ่มเวลาให้กับการทำงาน มากกว่าการใช้แทนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ทั้งหมด 

ทั้งนี้การเป็นครีเอเตอร์ย่อมมาพร้อมความรับผิดชอบต่อสังคม แม้บางคนจะหลีกเลี่ยงเพราะมองว่าการถูกวิจารณ์หรือถูกด่าสามารถช่วยเพิ่มยอด ซึ่งคุณอิสระมองว่าหากครีเอเตอร์คนนั้นรับได้ก็สามารถทำต่อไป เนื่องจากสปอนเซอร์บางกลุ่มสนใจเพียง Traffic เท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดเลยขึ้นอยู่กับมุมมอง และแนวทางที่แต่ละคนเลือกทำมากกว่า 

วิธีการรับมือกับ Mental Health  

ต้องยอมรับว่าคนไทยวิจารณ์เก่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องบั่นทอนจิตใจ โดยคุณอิสระมองว่านี่คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของการก้าวสู่จุดสูงสุดในเส้นทางครีเอเตอร์ อย่างไรก็ตามครีเอเตอร์ควรเลือกรับคอมเมนต์ที่เหมาะสม ถึงแม้ว่ามันจะยากแต่อยากให้หันไปโฟกัสความสุขที่เราได้รับจากการทำคลิปมากกว่า 

อย่างไรก็ตามบางคอมเมนต์ที่มีเหตุผลก็สามารถหยิบมาต่อยอดเพื่อช่วยพัฒนางานของเราได้ ซึ่งครีเอเตอร์ควรจะเปิดใจรับฟัง และนำไปปรับใช้ ส่วนคอมเมนต์ที่มุ่งโจมตีโดยไร้เหตุผลให้จำไว้ว่า Hater gonna Hate เราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดใครได้ แต่ถ้าถึงจุดหนึ่งที่รุนแรงเกินไปก็ควรตอบโต้กลับตามความจำเป็น 

สุดท้ายนี้การมีผู้ติดตามก็เหมือนการสร้างคอมมูนิตี้ ที่ครีเอเตอร์เองสามารถกำหนดทิศทางได้ว่าอยากให้สังคมของเราเป็นแบบไหน หากปล่อยให้คนที่สร้างความรำคาญอยู่ต่อไป อาจทำให้ผู้ติดตามคนอื่นได้รับผลกระทบทางความรู้สึก ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการคัดกรองคอมเมนต์ เพื่อให้แฟนคลับที่รักเราจริง ๆ ไม่ต้องเจอกับพลังลบเหล่านี้ 

เพราะเส้นทางครีเอเตอร์ไม่เคยมีสูตรสำเร็จตายตัว สิ่งที่ทำให้ยืนระยะได้คือการเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง รู้ว่าจุดแข็งคืออะไร ต้องพัฒนาอะไร และสามารถปรับวิธีการทำงานให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์มและพฤติกรรมผู้ชมได้อย่างต่อเนื่อง  

สำหรับใครที่อยากศึกษาอินไซต์ทั้งจากฝั่งครีเอเตอร์ม เอเจนซี, แบรนด์ และแพลตฟอร์มเพิ่มเติมสามารถดาวน์โหลด iCreator Report 2025 ได้ที่ลิงก์ https://www.rainmaker.in.th/icreatorreport/  และนำไปปรับใช้ได้เลย~

Copyright © 2025 RAiNMaker. All rights reserved.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save