Social
คอนเทนต์น่าสนใจจาก BufferApp แอปสำหรับจัดการ Social Media ชื่อดัง ซึ่งเค้าได้ทำการรวบรวมโพสต์ทั้งหมดบน Facebook ในปี 2018 กว่า 7 ล้านโพสต์ มาวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในแง่มุมต่างๆ
ก่อนหน้านี้ Twitter ได้ออกมาประกาศ แบนการใช้งาน Bot สำหรับการทวีต ซึ่งมีโอกาสที่จะถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบของแสปมและโดนลบบัญชีได้ ซึ่งเชื่อว่า เป็นส่วนสำคัญที่บรรดาเว็บไซต์ที่หวังผลใช้ในการกระจายข่าวปลอมหรือ Fake News ที่ ณ ยุคนี้ ในมุมของ Journalsim และ Information คงไม่มีประเด็นไหนจะร้อนแรงเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว ล่าสุดได้มีงานวิจัยจาก Indiana University ชื่อว่า The spread of low-credibility content by social bots ได้ศึกษาพฤติกรรมการแพร่กระจายของ Fake News โดยตั้งคำถามว่า Social Bot (บัญชี Social Media ที่เล่นโดยคอมพิวเตอร์ และถูกเขียนโปรแกรมให้แชร์ หรือโพสต์อะไรบางอย่าง) กับ Fake News นั้นมีความเกี่ยวข้องกันแค่ไหน
ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าจากพฤติกรรมของเราบน Social Media ความเป็นส่วนตัวของเราเรียกได้ว่าแทบจะไม่มี ด้วยข้อมูลส่วนตัวและ data มหาศาลที่เราป้อนเข้าสู้ Social Media อย่าง Facebook, Twitter หรือ Instagram ในแต่ละวัน ทำให้ Facebook แทบจะรู้จักตัวเรามากกว่าตัวเราเองเสียอีก ดังนั้นหลายคนอาจจะคิดว่า ถ้าเราเลิกเล่น Facebook ก็น่าจะรอด Facebook ก็จะไม่รู้จักเราและทำอะไรเราไม่ได้
ใครหลายคนที่เป็นแอดมินดูแลโซเชียลมีเดียหลาย ๆ ที่ตั้งแต่ Facebook, Twitter, IG อาจจะต้องเหนื่อยกับการ active บัญชีทั้งหมดให้มีความเคลื่อนไหว แน่นอนว่าคนที่ติดตามเราคงไม่อยากเห็นบัญชีร้าง ทำให้เราต้องมีการลงอะไรบางอย่าง หรือมีการเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอ นั่นทำให้หลายคนเลือกใช้เครื่องมือแนว ๆ automation tools เข้ามาในการทำให้บัญชีมีการเคลื่อนไหวอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ย้ำกันเป็นรอบที่ล้านว่าปัญหาใหญ่ทั่วโลกทุกวันนี้คือปัญหาข่าวปลอมหรือ Fake News หรือการแชร์เนื้อหาข่าวที่ไม่มีความจริง มีความจริงเพียงครึ่งเดียว หรือสร้างขึ้นมาเพื่อหวังผลบางอย่าง ก่อนหน้านี้เราเคยได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับ Fake News ไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็น รู้จักกับ Fake News ทั้ง 7 รูปแบบ ที่เราเจอกันทุกวันบน Facebook, Twitter และ ทำไมโซเชียลมีเดียถึงเผยด้านลบของเราได้ง่ายกว่าด้านดี และวิธีทำคอนเทนต์ให้โลกดีขึ้น หรือ รู้จักกับงานเขียนแบบ Evidence-based เพื่อความน่าเชื่อถือของคอนเทนต์ ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างความตระหนักถึงปัญหา Fake News แล้วยิ่งในไทยใกล้ช่วงการเลือกตั้งแล้วด้วย การเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องบนโลกอินเทอร์เน็ตก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะคงไม่ต้องบอกว่าปัญหาที่ตามมาภายหลังนั้นร้ายแรงแค่ไหน
ณ ตอนนี้กระแสหนึ่งที่มาแรงอย่างฉุดไม่อยู่เลยก็คือ #10YearsChallenge ซึ่งเป็นการท้ากันให้โพสต์รูปของตัวเองเมื่อ 10 ปีที่แล้วเพื่อเทียบกับตอนนี้ให้เพื่อน ๆ ได้เห็นถึงพัฒนาการว่าแต่ละคนมาไกลแค่ไหน ซึ่งคนดังหลายคนก็ร่วมเล่นไปกับเขาด้วย รวมถึงมีกระแสอื่น ๆ ทั้งจากแบรนด์และจากเพจต่าง ๆ ที่ก็เกาะติดกระแสนี้กันอย่างไม่ปล่อย จริง ๆ แล้วดูเหมือนกับว่ามันก็ไม่น่าจะมีอะไร เป็นแค่ Challenge ที่สร้างขึ้นมาสนุก ๆ เหมือนกหลาย ๆ กระแสก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา Facebook ประกาศแบนบริษัทด้าน Online Content ของประเทศฟิลิปินส์ที่ชื่อว่า Twinmark Media ซึ่ง Facebook บอกว่าละเมิดกฏข้อตกลงของ Facebook หลายข้อ ซึ่ง Facebook ก็ได้ให้เหตุผลว่า “We do not want our services to be used for this type of behavior” หรือว่า เราไม่ต้องการให้บริการของเรา (Facebook) ถูกนำมาใช้กับพฤติกรรมเช่นนี้
ปีที่ผ่านมานับว่าเป็นปีแห่ง Fake News จริง ๆ ซึ่งมันคือ Fake News จริง ๆ ไม่ใช่การที่ Donald Trump หรือผู้นำประเทศแถวนี้ชี้หน้าด่าใครว่าเป็น Fake News ก่อนหน้านี้ทีมงาน RAiNMAKER เคยสำเสนอบทความเรื่อง รู้จักกับ Fake News ทั้ง 7 รูปแบบ ที่เราเจอกันทุกวันบน Facebook, Twitter ทำให้เราอาจจะได้รู้จักกับ Fake News ประเภทต่าง ๆ กันไปบ้างแล้วนั้น เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาทางเว็บไซต์ Social Media Today ก็ได้จัดอันดับ 10 Fake News ที่มีคนเข้าไป Engage มากที่สุดบน Twitter
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า