เมื่อคืนวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา Apple ก็ได้ประกาศทั้งซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ กันไปแล้ว ซึ่งถูกใจเหล่าสาวกไม่น้อยกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น iOS 16, iPadOS 16 หรือไฮไลต์สำคัญอย่าง MacBook Air M2 ก็ทำเอาเงินในกระเป๋าสั่นเลยทีเดียว วันนี้ทาง RAiNMaker เลยจะพามาส่องอัปเดตฟีเจอร์ที่ครีเอเตอร์ แบรนด์ และเอเจนซีควรรู้เอาไว้ !
MacBook Air M2
ถือเป็นไฮไลท์ของงาน WWDC 2022 เลยก็ว่าได้ สำหรับการเปิดตัว MacBook Air พร้อมชิป M2 ที่ทุกคนรอมานาน ซึ่งนอกจากจะมาพร้อมดีไซน์ใหม่ ฟีเจอร์ใหม่ ให้ตื่นเต้นกันแล้ว ยังเป็นการออกแบบที่รวมทุกสิ่งที่ผู้ใช้ชื่นชอบเกี่ยวกับแล็ปท็อปที่ขายดีที่สุดในโลกมาพัฒนาให้ดีขึ้นไปอีกระดับด้วย
แต่ฟีเจอร์ที่น่าสนใจเหล่านั้น จะมีอะไรที่เหมาะสำหรับครีเอเตอร์ แบรนด์ และเอเจนซีสามารถนำไปสร้างคอนเทนต์บ้าง ตามไปดูกันเลย!
คุณสมบัติ
- ดีไซน์ใหม่
MacBook Air ใหม่มาพร้อมดีไซน์บางเฉียบ 11.3 มม. พกพาง่ายกับน้ำหนัก 1.24 กก. หน้าจอขนาด 13.6 นิ้ว และมี 4 สีให้เลือก คือ Midnight, Space Grey, Silver และ Starlight เหมาะกับสายครีเอเตอร์ แบรนด์และเอเจนซีที่ต้องสร้างคอนเทนต์ทุกที่ทุกเวลา
- รองรับการชาร์จไวครั้งแรก
รองรับการชาร์จเร็วด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 67 วัตต์ครั้งแรก โดยสามารถชาร์จได้สูงสุด 50% ในเวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จแบบ MagSafe ด้วย
- มีพอร์ต USB-C จำนวน 2 พอร์ต
MacBook Air ครั้งนี้มีอะแดปเตอร์ให้เลือกชาร์จ และแปลงไฟได้ โดยมีทั้งอะแดปเตอร์แปลงไฟขนาด 35 วัตต์ และมีมาพร้อมพอร์ต USB-C 2 พอร์ต ให้ชาร์จพร้อมกันได้ถึง 2 อุปกรณ์เลยทีเดียว
- ใช้งานได้นานถึง 18 ชั่วโมง
เพราะมีแบตเตอรีที่ใช้งานได้ยาวนานถึง 18 ชั่วโมง จากเดิมที่ใช้งานได้แค่ 9-10 ชั่วโมงก็อึดพอแล้ว เรียกได้ว่าจะตัดคลิป แต่งรูปหรือใช้งานตามสไตล์สายนักสร้างคอนเทนต์ขนาดไหนก็คุ้ม
ฟีเจอร์
- MacBookAir และชิป M2
MacBook Air รุ่นใหม่จอ 13 นิ้วนี้มาพร้อมชิป M2 ที่เร็วและแรงขึ้นกว่า M1 ถึง 1.4x เลยทีเดียว เลยทำให้สร้างคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมี CPU เร็วขึ้น 18% และ GPU เร็วขึ้น 35% พร้อมประมวลผลให้ลื่นไหล และประหยัดพลังงานได้มากกว่าเดิม โดยจะมีทั้ง MacBook Air และ MacBook Pro รุ่นใหม่เท่านั้นที่จะได้ใช้ชิปทรงพลัง M2 นี้
- อัตราการส่งข้อมูลเร็วขึ้น
หรือที่เราเรียกกันว่าแบนด์วิธเยอะขึ้นนั่นเอง โดยมีอัตราการส่งข้อมูลเร็วถึง 100 GB/s ที่เร็วกว่ารุ่น M1 ถึง 50% เลยสามารถรองรับเวิร์กโหลดขนาดใหญ่ ประสิทธิภาพการทำงานไม่อืด และเพิ่มความเร็วให้กับเวิร์กโฟลว์ได้อย่างง่ายดาย
โดยจะมาพร้อมหน่วยความจำแบบรวมขนาดสูงสุด 24GB ที่รวดเร็ว และเร่งความเร็ว ProRes ที่เล่นได้หลายสตรีม แม้จะมีเวิร์กโหลดหนัก ตัดต่อซ้อนทับไลน์ก็ไม่หวั่น
- เล่นวิดีโอระดับ 4K และ 8K ได้หลายสตรีม
สำหรับครีเอเตอร์สายสตรีม MacBook Air M2 ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะสามารถใช้ทำงานกับเวิร์กโฟลว์หนัก ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อคลิป ภาพยนตร์ หรือว่าการแต่งรูปก็ตาม
พร้อมทั้งสามารถสตรีม หรือเล่นวิดีโอในระดับ 4K และ 8K ได้อีกด้วย คาดว่าน่าจะถูกใจสายสตรีมเกมเมอร์ หรือใครที่ต้องการไลฟ์สตรีมมิงเป็นอย่างมากแน่นอน
- ใช้จอภาพ Liquid Retina
ด้วยขนาดจอ 13.6 นิ้วที่ขอบจอบางจากการขยายจอให้เต็มตา เพราะขยับไปใกล้ขอบด้านข้างมากขึ้น พร้อมจอแบบ Liquid Retina เลยทำให้เต็มอิ่มกับรายละเอียด ไม่ว่าจะดูรูป หรือเล่นหนังก็ดูสดใสสมจริงมากขึ้น
นอกจากนี้จอของ MacBook Air M2 ยังเพิ่มความสว่างมากขึ้นเป็น 500 นิต ซึ่งสว่างกว่ารุ่นก่อน 25% และรองรับการแสดงสีสันถึง 1 พันล้านสีเลยทีเดียว
- กล้อง FullHD 1080p
เพราะเราอยู่กับฮาร์ดแวร์กล้องของโน้ตบุ๊กที่เป็น 720p มานาน MacBook Air รุ่นนี้ก็ได้มีการอัปเกรดกล้อง FaceTime ให้มีความคมชัดใหม่เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นถึง 1080p เลยทีเดียว
ซึ่งจะทำให้ภาพมีการเก็บรายละเอียดมากขึ้น แม้จะใช้กล้องถ่ายในที่แสงน้อยแต่ก็มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นถึง 2 เท่าเลย ไม่ต้องเหนื่อยหาซื้อ iMac ราคาแสนกว่าบาทกันแล้ว
- เพิ่มฟีเจอร์ Continuity Camera ติดกล้องไอโฟนให้เป็นกล้องเว็บแคมได้
เป็นฟีเจอร์ที่สามารถใช้ iPhone เป็นกล้องเว็บแคมโดยไม่ต้องเสียสายใด ๆ ให้รกรุงรัง เพราะจะมี macOS ตรวจจับเครื่องโดยอัตโนมัติ และสามารถใช้กับโปรแกรม Conference ได้ เพราะรองรับฟีเจอร์ Center Stage ที่ติดตามตำแหน่งผู้พูดให้อยู่กึ่งกลางภาพเสมอนั่นเอง
iPadOS 16
ถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่เช่นกันกับ iPadOS 16 ที่ปรับให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานร่วมกันเป็นทีมง่ายขึ้น ทั้งการอัปเดตแอปเก่า และเพิ่มแอปใหม่ในการทำงานร่วมกันเข้ามา รวมถึงปรับการใช้งานให้รองรับการทำงานแบบ Multitasking ได้สะดวกประหนึ่งใช้งานบนเดสก์ท็อป
ฟีเจอร์
- ทำงานร่วมกันง่าย ๆ บนแอป Message
เริ่มกันที่การอัปเดตแอป Message ให้รองรับการทำงานร่วมกันได้สะดวกขึ้น ผ่านการแชร์ไฟล์ระหว่างแอป ไม่ว่าจะเป็น แอปไฟล์, Keynote, Numbers, Pages, แอปโน้ต, แอปเตือนความจำ และ Safari รวมถึงแอปอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ของ Apple อีกด้วย
โดยผู้ใช้สามารถกดเชิญคนอื่น ๆ ให้เข้ามาทำงานร่วมกันผ่านแอป Message จากนั้นทุกคนจะสามารถเข้าถึงเอกสาร สเปรดชีต และโปรเจกต์อัตโนมัติ เมื่อมีใครแก้ไขไฟล์ทุกคนในกลุ่มก็จะเห็นการอัปเดตอยู่ที่ด้านบนสุดของหัวข้อการสนทนาแบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ยังสามารถกด FaceTime ได้ทุกเมื่อเพื่อพูดคุยกับทุกคนในกลุ่ม เพื่อให้การทำงานร่วมกันไหลลื่นมากยิ่งขึ้น และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำงานเป็นโปรเจกต์ร่วมกับทีมที่ต้องใช้การ Brainstorm
- Freeform เปิดพื้นที่ให้ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์
เปิดตัวแอปใหม่ ‘Freeform’ เพื่อมอบพื้นที่ให้ทำงานร่วมกันบนกระดานแชร์แบบเรียลไทม์บนแอป ทั้งสามารถมองเห็น แชร์ และทำงานร่วมกันจากที่เดียวโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเลย์เอาต์ แถมยังสามารถใช้งานร่วมกับ Apple Pencil อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถวิดีโอคอลไปด้วย แก้งานไปด้วยพร้อมกันได้ ผ่านการ FaceTime เมื่อไหร่ก็ได้เมื่อต้องการ
- ทำงาน Multitasking แบบมือโปรด้วย Stage Manager
ครั้งแรกของการจัดหน้าจอการทำงาน Multitasking แบบใหม่บน iPad ที่จัดระเบียบแอปและหน้าต่างให้อัตโนมัติ สามารถวางหน้าต่างซ้อนทับกันได้ พร้อมให้สลับหน้าจอไปมา รวมถึงย่อหน้าจอได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นเพียงการแตะครั้งเดียว
นอกจากนี้ยังสามารถเปิดแอปจาก Dock เพื่อสร้างกลุ่มแอปสำหรับการทำงานจัดกลุ่มแอปพลิเคชันได้สูงสุดถึง 4 แอป สำหรับหน้าต่างแอปที่กำลังใช้งานจะแสดงผลอยู่ตรงกลาง ขณะที่แอปและหน้าต่างอื่น ๆ จะเรียงเอาไว้ทางด้านซ้ายตามลำดับล่าสุด เสมือนการทำงานบนเดสก์ท็อป
- แปลงลายมือเป็นตัวอักษรด้วย Scribble
Scribble หรือฟีเจอร์การแปลงลายมือให้เป็นตัวอักษรด้วยระบบการพูดผสมการพิมพ์ ผ่านการใช้งานควบคู่กับ Apple Pencil ซึ่งตอนนี้รองรับลายมือภาษาไทยแล้วด้วย เรียกว่าจดปุ๊บถอดข้อความออกมาปั๊บ สะดวกรวดเร็วไม่ต้องมานั่งแกะตัวอักษรแล้วพิมพ์ซ้ำ
- จอภาพ Liquid Retina XDR ตรวจสอบการใช้สีในเวิร์กโฟลว์ได้ดีขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานสำหรับคนทำงานด้านครีเอทีฟโดยเฉพาะ ด้วยจอภาพ Liquid Retina XDR ที่สามารถจัดการเรื่องสีในเวิร์กโฟลว์ได้ตามต้องการ ทั้งการปรับโทนสีและการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ที่นับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับงานครีเอทีฟ
- ตรวจจับข้อความในภาพ/วิดีโอทั้งระบบ พร้อมลบพื้นหลังภาพเพียงแตะครั้งเดียว
ด้วยฟีเจอร์ Live Text ที่ช่วยแปลงตัวอักษรในภาพมาเป็นข้อความ ขณะนี้้อัปเดตให้สามารถแสกนข้อความในวิดีโอได้ด้วย
รวมถึงการอัปเดตฟีเจอร์ Machine Learning ในการเลือกวัตถุในภาพ โดยที่ระบบจะตรวจจับและแยกวัตถุกับพื้นหลังในภาพให้เพื่อคัดลอกและวางในแชตง่าย ๆ แถมยังเพิ่มเติมเรื่องการตรวจจับนก แมลง และรูปปั้นได้อีกด้วย
สำหรับ iPad ที่ได้ไปต่อใน iPadOS 16 ในครั้งนี้คือ
- iPad Pro ทุกรุ่น
- iPad (รุ่นที่ 9)
- iPad (รุ่นที่ 8)
- iPad (รุ่นที่ 7)
- iPad (รุ่นที่ 6)
- iPad (รุ่นที่ 5)
- iPad mini (รุ่นที่ 6)
- iPad mini (รุ่นที่ 5)
- iPad Air (รุ่นที่ 5)
- iPad Air (รุ่นที่ 4)
- iPad Air (รุ่นที่ 3)
ซึ่งขณะนี้ iPadOS 16 เริ่มเปิดให้ทดสอบแล้ว และจะเปิดให้ใช้เวอร์ชันเบต้าสำหรับคนทั่วไปภายในเดือนกรกฎาคม
ที่มา: Apple, beartai, MacBook Air, Springnews, Blognone