ในยุคที่ผู้บริโภคไทยกว่า 57% ซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์ และ Social Media มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ ส่งผลให้ภาคธุรกิจไม่อาจมองข้ามการใช้ Facebook Ads ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อการยิงโฆษณาที่ดีไม่เพียงแต่เพิ่มยอด Reach หรือ View แต่ยังสามารถกระตุ้นยอดขาย, สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และช่วยให้แบรนด์เข้าใจกลุ่มเป้าหมายมากกว่าเดิม
เมื่อผู้บริโภคมีแนวโน้มจะซื้อสินค้าสิ่งแรกมักเริ่มจากการหาว่าสินค้านั้นคืออะไร เอาไปใช้ทำอะไร แล้วผลิตจากวัสดุแบบไหน ก่อนจะเปรียบเทียบความคุ้มค่า และน่าเชื่อถือระหว่างแบรนด์ ซึ่งจังหวะนี้หากเราเห็นโฆษณาที่ตรงใจผ่านตาไปจะสามารถเร่งกระบวนการตัดสินใจได้มากขึ้นถึง 80%
แต่การจะยิงให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี จำเป็นต้องเริ่มจากความเข้าใจพื้นฐานระหว่าง Boost Post และ Ad Manager ถึงจะมีเป้าหมายเพื่อโปรโมตโพสต์ให้เข้าถึงผู้คนมากขึ้น แต่กลไกการทำงาน, ความแม่นยำในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย และการวัดผลลัพธ์กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
โดย Boost Post เปรียบเสมือนทางลัดเพียงไม่กี่ขั้นตอนก็สามารถกระจายโพสต์ในทันที ในทางตรงกันข้าม Ad Manager สามารถกำหนดจุดประสงค์ของโฆษณาได้อย่างชัดเจน และวางกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ เพื่อความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป โดยสามารถเลือกวัตถุประสงค์ได้หลากหลาย ได้แก่
- Awareness: เพื่อสร้างการรับรู้ให้กลุ่มเป้าหมายเห็นโฆษณาจำนวนมากที่สุด
- Traffic: เพื่อเพิ่มจำนวนคลิกไปยังเว็บไซต์, แอปพลิเคชัน หรือปลายทางอื่น ๆ
- Engagement: เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมกับโพสต์ เช่น การกดไลก์, คอมเมนต์, แชร์ หรือการทักแชตเพื่อพูดคุย หรือสอบถามเพิ่มเติม
- Leads: เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย โดยให้กลุ่มเป้าหมายที่สนใจติดต่อเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าจากโฆษณาดังกล่าว
- Promotion: เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน เช่น แอปสั่งอาหาร, จองโรงแรม หรือเกม
- Sales: เพื่อเพิ่มยอดขายโดยตรง โดยเฉพาะกับธุรกิจ E-Commerce หรือแบรนด์ที่ต้องการให้กลุ่มเป้าหมายที่เคยซื้อกลับมาซื้อซ้ำ
นอกจากนี้ Ad Manager ยังสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง ตั้งแต่ช่วงอายุ, เพศ, ที่อยู่, ความสนใจไปจนถึงพฤติกรรมการใช้งานบนโลกออนไลน์ ทำให้ผู้ยิง Ads สามารถ Custom Audience จากฐานข้อมูลลูกค้า หรือการมีส่วนร่วมในโพสต์ที่ผ่านมาเพื่อทำ Retargeting ได้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ Boost Post ไม่สามารถทำได้