News
ในปีนี้ Facebook Groups ได้เพิ่มฟีเจอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการผลักดัน Community ที่พี่มาร์คเคยได้กล่าวเอาไว้ ถ้าใครพอที่จะ Join กลุ่มต่างๆ เอาไว้บ้าง จะสังเกตได้ชัดเจนเลยว่า Feed จาก Facebook Groups ลอยมาให้เห็นเยอะมากกว่าเพจเสียอีก
การจะลุกขึ้นมาทำเพจ ทำคอนเทนต์นั้นเราก็มักจะนำเรื่องใกล้ตัวมาเล่า เรื่องที่เกิดในชีวิตประจำวัน งานอดิเรก สิ่งที่เราสนใจต่างๆ แต่ก็มีนักทำคอนเทนต์อยู่อีกกลุ่มหนึ่งที่นำเอา ‘อาชีพ’ ของตัวเองนี่ละมาทำเป็นคอนเทนต์ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะรู้ลึกรู้จริงแล้ว ก็ยังมีสเน่ห์ในการเล่าเรื่องว่าในฐานะคนทำงานอาชีพนั้นๆ กับมุมมองเฉพาะบุคคลก็ทำให้เล่าเรื่องออกมาไม่ซ้ำใคร
ถ้ายังจำกันได้ ตอนที่ Facebook ประกาศว่าจะมาเป็น Platform Video คู่แข่งกับ YouTube หนึ่งในวิธีการสำคัญที่ Facebook ใช้ก็คือการปรับวิดีโอบนหน้า Newsfeed ให้เป็นแบบ Auto-play หรือการเล่นแบบอัตโนมัติ เพียงแค่เราเลื่อนผ่านวิดีโอก็จะเล่น ดังนั้นในการเลื่อนผ่าน 1 ครั้งเราจะมีโอกาสเห็นวิดีโอประมาณ 1-2 วินาที (ซึ่งภายหลังก็กลายมาเป็นสูตรการทำวิดีโอบน Social ว่าต้องทำให้คนหยุดดูให้ได้ใน 3 วินาที) และความแสบก็คือการยกเลิกความสามารถในการเล่นวิดีโอ YouTube บน Facebook ผลก็คือ ตอนนี้ Facebook กลายเป็น Platform Video ที่ได้รับความนิยมสูงพอ ๆ กับ YouTube
YouTube Rewind เป็นกิจกรรมที่ยูทูปทำต่อเนื่องมาทุกปี ไม่เพียงแค่จัดอันดับวิดีโอที่มียอดวิวสูงสุด แต่ยังเป็นการทบทวนเทรนด์ฮิต ประเด็นดัง ที่คนทั่วโลกต้องอินแน่นอน และในทุกๆปียูทูปก็จะทำการเลือก Creator แห่งปี ที่ไม่ใช่แค่คนติดตามเยอะ แต่ยังทำคอนเทนต์สร้างสรรค์ออกมาจนเป็นที่พูดถึงในประเทศนั้นๆ
Facebook ลุยผลิต Original Content ลง Facebook Watch โดยผนวกกับฟีเจอร์ LIVE เพื่อถ่ายทอดสด หลังจากปล่อยให้ช่องทีวีถล่ม engagement นำไปก่อนแล้ว ซึ่งรายการที่ว่านั้นก็คือ Confentti เกมส์โชว์ที่ให้ผู้ใช้ Facebook ได้เข้ามาตอบคำถามเพื่อชิงเงินรางวัล
ในบทความที่สอนเรื่อง Rethoric เราได้พูดถึงว่าการที่จะทำให้คนมาเชื่อเราได้ก็คือการให้ความสำคัญกับตัวผู้พูด ผู้ฟัง และความสมเหตุสมผลของตัวเนื้อหา ซึ่งการอ้างอิงก็คือหนึ่งในนั้น หลายคนเชื่อแค่ว่าแค่มีแหล่งอ้างอิงก็แปลว่าบทความของเราน่าเชื่อถือแล้วแต่จริง ๆ แล้วการอ้างอิงเป็นเพียงแค่วิธีการเท่านั้นเอง
ก่อนหน้านี้เราเพิ่งจะพูดกันถึงเรื่อง ทำไมโซเชียลมีเดียถึงเผยด้านลบของเราได้ง่ายกว่าด้านดี ซึ่งตัวอย่างที่ยกออกมาพูดถึงกันก็คือจาก TED และหนังสือของ Wael Ghonim ที่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการประท้วงที่อียิปที่ลุกลามมาให้เกิดเหตุการณ์ Arab Spring ด้วยแนวคิด Revolution 2.0 การปฏิวัติแบบที่ไม่มีศูนย์กลาง แต่เกิดจากพลังที่มองไม่เห็น ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะ Social Media
หลังจากที่ Snapchat เปิดตัวฟีเจอร์ Story มันก็ได้ถูก Instagram ก็อปไปแล้วจนสุดท้ายมันก็กลายเป็นฟีเจอร์ยอดฮิตจนถึงขั้นแทบจะเป็นอนาคตของ Social Network เลยทีเดียว แม้กระทั่ง Facebook ก็มีข่าวว่า อาจนำ Story มาเป็นฟีเจอร์หลักแทน Newsfeed ด้วยซ้ำ ยังไม่รวมรูปแบบของคอนเทนต์แนวตั้งอื่น ๆ เช่น Google AMP Story , IGTV หรือ วิดีโอคอนเทนต์แนวตั้ง
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า