หนึ่งในวิธีที่ช่วยโน้มน้าวให้กลุ่มเป้าหมายสนใจ และกระตุ้นให้เกิดการกระทำบางอย่างต่อคอนเทนต์ของเรา นั่นก็คือการใส่ ‘Call-to-action’ นั่นเอง แต่การใส่ Call-to-action นั้นไม่ใช่ว่าจะใส่คำไหนตามใจ หรือวางตรงไหนตามใจก็ได้ เพราะมันต้องมีหลักการ และขั้นตอนของมันยังไงล่ะ!
วันนี้ RAiNMaker เลยรวม 7 วิธีไว้ให้รีเช็กว่า Call-to-action ที่ทำกันอยู่มีประสิทธิภาพหรือยัง หากพร้อมแล้วเตรียมเช็กลิสต์ไปพร้อมกันได้เลย
ทำ CTA เป็นปุ่ม
มีหลายวิธีในการทำ Call-to-action ไม่ว่าจะเป็นการใส่เป็น Hyperlink ธรรมดา ภาพกราฟิก หรือรูปภาพ แต่การทำเป็นปุ่มจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีกว่า ทั้งสะดุดตากลุ่มเป้าหมาย และช่วยเพิ่มยอดการคลิกได้อีกด้วย นั่นเป็นเพราะคนเรามักจะมีแรงจูงใจให้คลิกเข้าไปเมื่อเห็นปุ่มนั่นเอง
คำต้องสั้น กระชับ ตรงจุด
เพราะคำที่ยาวเกินไปจะทำให้ผู้คนเพียงแค่กวาดตามอง และเลื่อนผ่านไปเท่านั้น แต่จุดประสงค์ของ Call-to-action คือการโน้มน้าวให้กลุ่มเป้าหมายกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อหลังจากเห็นปุ่มดังกล่าว เพราะฉะนั้นคำที่อยู่บนปุ่มควรจะเป็นเพียงคำที่สั้น กระชับ และตรงประเด็น ทางที่ดีไม่ควรให้เกิน 4 คำ แนะนำให้ใช้เป็นคำที่เป็นกริยา เช่น Grt Started, Learn more, Join free หรือ Buy now เป็นต้น
ใช้คำกระตุ้นว่าไม่ควรพลาด
สร้างความรู้สึกว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ควรพลาด และควรที่จะกดเข้าไปดูทันที เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดยอด Conversion มากขึ้น ซึ่งมีทริกเล็กน้อย ดังนี้
- ใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับการบ่งชี้เวลาเป็นการกระตุ้น เช่น Shop now, Start now หรือ Sign up today
- ใช้คำที่บ่งบอกถึงการจำกัดจำนวน เช่น Last chance, Sale ends tomorrow
- ใส่ตัวนับเวลาถอยหลัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าข้อเสนอจะจบลงเมื่อไร
ซึ่งโดยปกติแล้ว ควรจะสร้างคำที่กระตุ้นเตือนให้ผู้ใช้กระทำการบางอย่างหลังจากเห็นข้อความ โดยเฉพาะกับกลุ่ม FOMO (Fear of missing out) หรือ คนที่กลัวที่จะไม่ทันกระแส เพื่อที่จะได้ดึงความสนใจตรงนั้นมาได้
ใช้จิตวิทยาย้อนกลับ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุให้กด
ถ้ากลยุทธ์การตลาดแบบธรรมดาไม่พอ ลองใช้กลยุทธ์ทางจิตวิทยาแบบย้อนกลับ หรือ Reverse Psychology ดู ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เหมือนคำพูดที่ว่า “ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ” เช่น Don’t click it เพราะเราจะห้ามในสิ่งที่เราอยากให้กลุ่มเป้าหมายทำ เพื่อให้พวกเขาเกิดความรู้สึกท้าทาย และอยากจะแหกคำพูดเหล่านั้น จนสุดท้ายก็ทำตามความต้องการที่แท้จริงของเราในที่สุด
ทำ CTA ให้ เฉพาะบุคคล
การทำให้ Call-to-action มีความเฉพาะบุคคลมากขึ้น (Personalize) มากขึ้น จะช่วยเพิ่มยอด Conversion ได้มากถึง 200% เลยทีเดียว เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายจะรู้สึกว่าคุณสื่อสารถึงเขาโดยตรง รวมถึงสัมผัสได้ถึงความใส่ใจในการเจาะความเฉพาะมากกว่าที่จะทำการตลาดแบบแมสที่ทุกคนจะเห็นข้อความเดียวกัน จึงทำให้พวกเขารู้สึกถึงความพิเศษขึ้นมานั่นเอง
แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ใส่ชื่อของกลุ่มเป้าหมายแต่ละคนในทุกที่ขนาดนั้น อาจจะใช้การปรับคำบางคำตามที่อยู่ของกลุ่มเป้าหมาย หรือใช้ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย
วางตำแหน่ง CTA ให้เหมาะสม
การออกแบบหน้าเว็บไซต์ หรืออีเมลให้เหมาะสมกับการอ่านได้สะดวกทั้งบนโทรศัพท์ และเว็บไซต์ก็เป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงตำแหน่ง และลำดับการวาง Call-to-action ก็เช่นกัน เพื่อให้สามารถดึงสายตาคนได้ขณะที่อ่านนั่นเอง
การใช้สี และพื้นที่ก็ส่งผลต่อ Call-to-action เช่นเดียวกัน อาจใช้เป็นคู่สีตัดกัน หรือใช้พื้นที่สีขาวให้เป็นประโยชน์ เช่น ใช้สีพื้นหลังเว็บไซต์ และสีตรงส่วนของ Call-to-action เป็นคู่สีตรงข้าม หรือการใช้พื้นที่ว่างสีขาวเป็นตำแหน่งที่ใส่ Call-to-action เพื่อให้โดดเด่นมากขึ้น
เช็ก CTA ที่ลิงก์ให้เรียบร้อย
Call-to-action จะไม่มีประโยนช์อะไรเลย หากลิงก์ไปยังต้นทางเว็บไซต์ผิด! ดังนั้นจึงควรตรวจสอบให้มั่นใจหลังจากที่ลิงก์แล้ว ว่าสามารถกดเข้าไปได้จริง และลิงก์ไปถูกต้องครบถ้วน เพื่อไม่ให้เสียประโยชน์ แถมยังไม่ทำลายประสบการณ์การใช้งานของกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย
ที่มา: Red Website Design