สอวช.-จุฬาฯ–เอกชนผนึกกำลังครีเอเตอร์ไทยผ่าน ‘CREATORVERSE: Shaping Thailand Creator Economy’ พร้อมยกระดับวงการด้วย Quick Win ให้ Creator Economy เติบโต

จบไปแล้ว! กับโปรเจกต์ที่ทำให้ครีเอเตอร์ไทยได้มายกระดับวงการ และเป็นกระบอกเสียงสู่การร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนไปด้วยกัน ตั้งแต่การเปิดตัวโครงการวิจัย “Thai Creator for Real Business Workshop” ปั้นครีเอเตอร์ไทยสู่ผู้ประกอบการ มาสู่งาน “CREATORVERSE: Shaping Thailand Creator Economy” ในการนำเสนอผลการวิจัยและข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจครีเอเตอร์ของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ผศ.ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าโครงการ Thailand Creator Economy Policy & Industry Briefing มองว่าครีเอเตอร์ต้องถูกมองใหม่ในฐานะ “Strategic Partner” ของนโยบายชาติ ไม่ใช่เพียงผู้ผลิตคอนเทนต์ เพราะมีบทบาทสำคัญในการเล่าเรื่อง เชื่อมโยงยุทธศาสตร์รัฐกับประชาชน และกำหนดทัศนคติรวมถึงพฤติกรรมทางสังคม

โดยจากการทำงานวิจัยตลอด 8 เดือนกับครีเอเตอร์กว่า 130 คนและองค์กรใน Ecosystem 15 แห่ง ทีมวิจัยได้เสนอเส้นทางอาชีพครีเอเตอร์ 5 สเตจ โดยพบว่าสเตจ 3 – 4 เป็นกลุ่มแรงงานสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพสูง แต่กำลังติดคอขวดด้านโครงสร้างทั้งภาษี การจดบริษัท การบริหารทีม ไปจนถึงการเข้าถึงทุน หากรัฐและเอกชนวาง Quick Win ที่ตอบจุดนี้ได้ตรง จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ Creator Economy เติบโตแบบก้าวกระโดด

เพราะ Creator Economy ต้องถูกมองเป็น “ระบบนิเวศ 7 มิติ” ครอบคลุมครีเอเตอร์ แพลตฟอร์ม, เทคโนโลยี, แหล่งทุน, โครงสร้างพื้นฐาน, มาตรฐานวิชาชีพ,  การศึกษา และตลาดผู้ชม แต่วันนี้องค์ประกอบยังทำงานไม่สอดประสาน ขาดหน่วยงานหลักดูแล หากปล่อยให้เติบโตตามกลไกตลาดเพียงลำพัง ครีเอเตอร์อาจเติบโตโดยไม่สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมได้เต็มศักยภาพ

เสียงจากภาครัฐ: เวทีเสวนา “Respond to Creator Policy: Quick Win ที่ทำได้ทันที”

รองศาสตราจารย์ วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ สอวช. ได้กล่าวว่า Quick Win สำคัญของอุดมศึกษาคือการวางระบบ Lifelong Learning สำหรับอาชีพครีเอเตอร์ และผลักดันให้คณะนิเทศศาสตร์ปรับการเรียนการสอนเป็น Project-based Learning ควบคู่กับการตั้ง “Creator Lab” หรือห้องทดลองสร้างสรรค์ในภูมิภาค เพื่อให้นิสิตและประชาชนได้ทดลองทำงานจริงและเชื่อมต่อกับภาคธุรกิจ สร้างเส้นทางเข้าสู่อาชีพครีเอเตอร์ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ด้าน ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ก็ได้ชู Quick Win ด้าน “ทุน” โดยออกแบบโครงสร้างทุนแบบ “5+3 แทร็ก” แยกสนามสำหรับบุคคลธรรมดา สตาร์ทอัพ นิติบุคคลรายใหญ่ ความร่วมมือ และโครงการขนาดใหญ่ เพื่อลดการแข่งข้ามกลุ่ม และเปิดโอกาสให้เยาวชน คนตัวเล็ก และครีเอเตอร์ที่ทำคอนเทนต์เพื่อสังคมเข้าถึงทุนได้จริง พร้อมโยนไอเดียต่อยอดเช่น “หนึ่งจังหวัดสิบครีเอเตอร์” หรือ “หนึ่งตำบลหนึ่งคอนเทนต์ครีเอเตอร์” เป็นโจทย์ที่รัฐสามารถนำไปขยายผลได้ทันที

เสียงจากภาคเอกชน: การยกระดับครีเอเตอร์ต้องเดินควบคู่ทั้งเศรษฐกิจ–มาตรฐาน–จริยธรรม

สุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทลสกอร์ จำกัด มองว่า Quick Win ของภาครัฐควรเริ่มจากการ “คุยกับแพลตฟอร์ม” เพื่อลดแรงเหวี่ยงของอัลกอริทึมที่ดันคอนเทนต์ดราม่าเหนือคอนเทนต์คุณภาพ พร้อมเตือนว่ารัฐไม่ควรสร้างแพลตฟอร์มใหม่แล้วปล่อยร้าง

แต่ควรใช้งบประมาณเสริมระบบที่ภาคเอกชนและคอมมูนิตี้ครีเอเตอร์มีอยู่แล้ว เธอเสนอให้มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าภาพด้านมาตรฐานและใบรับรองวิชาชีพครีเอเตอร์ ขณะที่เอกชนทำหน้าที่ KYC และดูแลการทำงานในสนามจริง

ในขณะเดียวกัน ขจร เจียรนัยพานิชย์ บรรณาธิการบริหาร RAiNMaker ก็ได้นำข้อมูลจาก iCreator Report ชี้ว่าครีเอเตอร์ไทยจำนวนมากกระจายตัวอยู่ในต่างจังหวัด และกำลังกลายเป็นพลังเศรษฐกิจท้องถิ่น พร้อมเสนอให้รัฐและเอกชนใช้ข้อมูลเหล่านี้ออกแบบมาตรการสนับสนุนครีเอเตอร์ท้องถิ่นให้มากขึ้น

ควบคู่ไปกับการผลักดันให้ “คอนเทนต์ครีเอเตอร์” ได้รับการยอมรับเป็นอาชีพอย่างเป็นทางการ มีมาตรฐานวิชาชีพ สวัสดิการ และตัวแทนอย่างสมาคมครีเอเตอร์ฯ ในการเจรจานโยบายร่วมกับรัฐและแพลตฟอร์ม โดยย้ำว่า “ถ้าเราแยกกันอยู่ ทุกอย่างจะเปราะบาง แต่ถ้ารวมกัน Ecosystem จะเอาอยู่”

เสียงจากครีเอเตอร์: พร้อมร่วมสร้างอนาคต Creator Economy ขอแค่รัฐ–เอกชนเปิดพื้นที่ให้เข้าถึงง่ายขึ้น

จากเวทีเสวนา “Creator Voice เสียงจากครีเอเตอร์ต่อการสร้าง Ecosystem แบบมีส่วนร่วม” ก็ได้ เปิดพื้นที่ให้ครีเอเตอร์ 3 ช่องดังของไทยสะท้อนประสบการณ์ตรง ทั้งบทบาทของตัวเองใน Ecosystem และเงื่อนไขที่อยากเห็นจากภาครัฐกับภาคเอกชนร่วมมือกันทำให้เศรษฐกิจครีเอเตอร์เติบโตอย่างยั่งยืนจริง

นัชชา ทองธราดล เจ้าของช่อง AmPossible ชี้ว่าคนจำนวนมากอยากเป็นครีเอเตอร์ แต่ไปไม่ถึงเพราะหยุดทำแค่ไม่กี่คลิป จึงย้ำว่าคนทำคอนเทนต์ควรให้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนแบบ “เอาจริงเอาจัง” ก่อนตัดสินใจว่าใช่ทางหรือไม่ พร้อมสะท้อนปัญหาสำคัญเรื่องการเข้าถึงทุนรัฐ ทั้งภาษาใน TOR ที่เข้าใจยาก และการยื่นข้อเสนอที่ “ไม่รู้เลยว่าทำไมไม่ผ่าน” จึงอยากเห็นระบบฟีดแบ็กและช่องทางสื่อสารแบบเรียลไทม์กับหน่วยงานมากขึ้น

ด้าน พลสัน นกน่วม เจ้าของช่อง เล่าเรื่องแบรนด์กับ Sam พลสัน และ TikTok Creator Experts ก็ยอมรับว่า TikTok เคยถูกมองว่าเป็นแพลตฟอร์มเต้นและความบันเทิง แต่เมื่อจับ “ยาขมเรื่องธุรกิจ” ใส่ใน “ขนมที่คนอินอยู่แล้ว” คนดูกลับตอบรับดีมาก

จนกลายเป็นช่องความรู้ด้านแบรนด์ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ เขาเสนอว่ารัฐควรจัดสรรงบประมาณสนับสนุนงานครีเอเตอร์ให้โปร่งใสและกระจายโอกาสมากขึ้น ไม่เทไปที่โครงการใหญ่ไม่กี่โครงการ พร้อมสนับสนุนการรวมตัวเป็นสมาคมครีเอเตอร์ เพื่อเป็นตัวแทนเสียงของคนทำคอนเทนต์ในเวทีนโยบาย

และพิมพ์ลดา ไชยปรีชาวิทย์ เจ้าของช่อง PEAR is hungry มองว่าเบื้องหลังของการทำคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ก็ต้องรู้จักกระบวนการวิ่งหาทุนและทำเอกสารที่ซับซ้อน “เพราะสิ่งที่ยากไม่ใช่แค่การสู้กับอัลกอริทึม แต่คือการเข้าถึงแหล่งทุนที่ภาษาและขั้นตอนถูกออกแบบมาไม่ค่อยคิดถึงครีเอเตอร์”

โดยจากเวทีเสวนาในครั้งนี้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าหากภาครัฐ ภาคเอกชน และครีเตอร์เห็นภาพใหญ่ร่วมกัน ก็จะทำให้ Creator Economy ของไทยพร้อมที่จะสู้กับประเทศอื่น และครีเอเตอร์ไทยก็จะมั่นคงในระยะยาวมากขึ้นนั่นเอง

#CREATORVERSE #CreatorEconomy #CreatorPolicy

Copyright © 2025 RAiNMaker. All rights reserved.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save