Social Marketing

Avatar

Mneeose March 10, 2023

How to แพลนไอเดีย Content Pillar วางแผนอย่างไรให้มีประสิทธิภาพในโซเชียลมีเดีย

ที่จริงแล้วคนเรามักกระหายความรู้ โดยมีความอยากรู้เป็นตัวกระตุ้น ซึ่งความรู้ที่ถูกย่อยให้อ่านง่าย แถมเข้าใจได้เร็วนั้น ย่อมโดนใจคนในยุคนี้เสมอ ซึ่งในปัจจุบันคอนเทนต์ฟรีมีอยู่ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมากมายแล้วแต่คนจะเลือกเสพ

ดังนั้น การวางแพลน Content Pillars ให้ปัง จึงถือเป็นเรื่องที่ชาว Marketing ทั้งในองค์กร เอเจนซี และแบรนด์ควรให้ความสนใจ เพราะ Content Pillars จะช่วยให้เราได้โฟกัสจดจ่ออยู่กับคอนเทนต์ของสินค้าและบริการได้ตรงจุด และตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เกิดการต่อยอดเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการนั่นเอง

สิ่งที่ควรตอบให้ได้ เมื่อทำคอนเทนต์ 1 ตัว

  • What is Content : เนื้อหาที่อยากสื่อสารเป็นเรื่องอะไร?
  • Content Category : อยู่ในกลุ่มคอนเทนต์ประเภทไหน?
  • Content Format : รูปแบบของคอนเทนต์? เช่น ภาพเดี่ยว / ภาพชุด / วิดีโอ / บทความ
  • Ads Support : โปรโมตด้วยโฆษณาหรือไม่?
  • KPI : วัดผลคอนเทนต์นี้อย่างไร?
  • Target : มีกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร สำหรับคอนเทนต์นี้?

5 ประเด็นที่ควรปักหมุดไว้ใน Content Pillar

1. Engagement Content

เป็นคอนเทนต์ที่มีจุดประสงค์ให้ผู้พบเห็นเกิดการมีส่วนร่วมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการคอมเมนต์ แชร์ และกดไลก์ก็ตาม โดยเนื้อหาคอนเทนต์จะเป็นไปในทางเดียวกับแบรนด์ หรืออิงจากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่ ณ ขณะน้ัน เช่น มีมต่าง ๆ เพื่อดึงดูดให้คนหันมาสนใจในเพจเพิ่มมากขึ้น

ซึ่ง Engagement Content ถือเป็นตัวช่วยในการเพิ่มยอด Reach หรือยอดการมองเห็นของอัลกอริทึมในโซเชียลมีเดียได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์หรือเพจที่กำลังปั้นอยู่ จึงไม่ควรขาด และต้องขยันสร้าง Engagement Content ให้สม่ำเสมอด้วยจำนวนที่เยอะ ๆ ก่อน แล้วจึงค่อย ๆ ผ่อนลงมา

ตัวอย่างที่เราจะพบเห็นกันบ่อย ๆ เช่น Quote Memes และ Reels เป็นต้น

  • ถามตอบกับแฟนคลับ เพื่อสร้าง Engagement
  • แชร์ Quote ที่ชอบมากที่สุด หรือมายึดในการทำงาน
  • แชร์แรงบันดาลใจในการทำคอนเทนต์

ระดับการสื่อสาร Engagement Content >>> Know (เน้นสร้างการรับรู้)

สัดส่วนของคอนเทนต์ >>> มากที่สุด เพื่อให้คนเกิดการมีส่วนร่วม

 

2. Educational Content

คอนเทนต์แนวให้ความรู้เป็นอีกคอนเทนต์ที่ช่วยให้ช่องได้เปิดโลกกว้าง และได้รู้จักกับกลุ่มเป้าหมายของเพจได้มากขึ้น

ซึ่งประเด็นจะเกี่ยวกับการให้ความรู้ในเรื่องของแบรนด์ที่ทำอยู่ หรือทักษะต่าง ๆ ที่น่าสนใจในการทำธุรกิจเหมือนมีผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ มาสอนให้เอง หรือจะเป็นประสบการณ์โดยตรงและโดยอ้อมที่เจ้าของช่องได้เจอมา และอยากนำมาเล่าเพื่อถ่ายทอดก็ได้อีกเช่นกัน

ตัวอย่างที่เราจะพบเห็นกันบ่อย ๆ เช่น

  • แชร์เครื่องมือทางการตลาดในการทำคอนเทนต์ที่ชอบใช้มากที่สุด
  • แชร์ทริกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับสินค้านั้น ๆ 
  • แชร์ปัญหา และวิธีการแก้ไขที่อยากให้ผู้อื่นทำตามแล้วได้ผล
  • แชร์ Fun Fact สิ่งต่าง ๆ

ระดับการสื่อสาร Educational Content >>> Know (เน้นสร้างการรับรู้) + Like (เน้นความรู้สึกชอบ) + Trust (สร้างความรู้สึกเชื่อใจไว้ใจ)

สัดส่วนของคอนเทนต์ >>> มาก แต่น้อยกว่า Engagement Content

 

3. Connection Content

คอนเทนต์ที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพจ และกลุ่มเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ด้วยเรื่องเล่า (Storytelling) ของแบรนด์ พูดง่าย ๆ คือ ใช้ประโยชน์จากเรื่องเล่ามาทำให้คนตกหลุมรักแบรนด์แบบไม่รู้ตัว โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายในมุมมองของกลยุทธ์การตลาด

เพราะเรื่องเล่าของแต่ละแบรนด์ทำให้คนที่มีประสบการณ์คล้าย ๆ กันเกิดความรู้สึกอินและอยากสนับสนุน ซึ่งถือว่า Connection Content เป็นการเพิ่มคุณค่าของแบรนด์นั้น ๆ และรู้สึกพิเศษที่ได้รู้ข้อมูลเบื้องลึกนั้นมากขึ้นอีกด้วย

ตัวอย่างที่เราจะพบเห็นกันบ่อย ๆ เช่น

  • เล่าเรื่องความเป็นมาก่อนที่จะสร้างแบรนด์
  • แชร์มุมมองสิ่งที่ชอบว่าสนใจเรื่องอะไร
  • โชว์พื้นที่ในการทำคอนเทนต์ เพื่อโปรโมตตัวเองให้น่าสนใจ
  • แชร์เบื้องหลังการทำงานสุด Exclusive

ระดับการสื่อสาร Connection Content >>> Like (เน้นความรู้สึกชอบ) + Trust (สร้างความรู้สึกเชื่อใจไว้ใจ)

สัดส่วนของคอนเทนต์ >>> รองลงมาจาก Educational Content

 

4. Social Proof Content 

คอนเทนต์ประเภทนี้จะเน้นการรีวิวเคสต่าง ๆ จากผู้บริโภคที่ได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งบริการนั้น ๆ ด้วยตัวเอง แล้วจึงนำมารีวิวลงในสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่สินค้าและบริการว่าใช้ดีจริงจนต้องบอกต่อ! ถือเป็นการพิสูจน์คุณภาพของสินค้าว่าได้มาตรฐานที่ดี ใช้แล้วเห็นผล จนสามารถโน้มน้าวใจผู้บริโภคได้นั่นเอง

ตัวอย่างที่เราจะพบเห็นกันบ่อย ๆ เช่น เคสรีวิวสินค้าและบริการต่าง ๆ จากคนที่ได้ลองใช้จริง

ระดับการสื่อสาร Social Proof Content >>> Trust (สร้างความรู้สึกเชื่อใจไว้ใจ)

สัดส่วนของคอนเทนต์ >>> รองลงมาจาก Connection content

 

5. Promotional Content

คอนเทนต์โปรโมตขายของที่เรามักพบเห็นกันได้บ่อยในช่องทางโซเชียลต่าง ๆ เพื่อบอกสรรพคุณ พร้อมขายสินค้าและบริการอย่างตรงไปตรงมา ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น บนเว็บไซต์ หรือจะ DM ใน Instagram ก็ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ แบรนด์ยังต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายของผู้ซื้อสินค้าและบริการของตัวเองเป็นหลัก เพื่อทำคอนเทนต์โปรโมตให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยคอนเทนต์ประเภทนี้อาจมีการยิงโฆษณา Call to Action เพื่อขยายให้กลุ่มเป้าหมายหรือคนที่สนใจในเรื่องนั้น ๆ เห็นคอนเทนต์เพิ่มมากขึ้น จนเกิดการกดซื้อตามมา

ตัวอย่างที่เราจะพบเห็นกันบ่อย ๆ เช่น

  • โปรโมตสินค้าบริการ และช่องทางการติดต่อ

ระดับการสื่อสาร Promotional Content >>> คุณต้องการสร้าง Know (เน้นสร้างการรับรู้) + Like (เน้นความรู้สึกชอบ) + Trust (สร้างความรู้สึกเชื่อใจไว้ใจ)

สัดส่วนของคอนเทนต์ >>> มีจำนวนน้อยที่สุด

แหล่งอ้างอิง : www.mallorymusante.com/

Copyright © 2024 RAiNMaker. All rights reserved.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save