หากถามว่าทำไมรัฐบาลไทยจึงไม่สามารถรับมือกับวิกฤตโควิด-19 ได้ หนึ่งในคำตอบที่เห็นได้ชัดเจนคือ การสื่อสารกับประชาชน
เป็นอีกครั้งที่การสื่อสารของภาครัฐสร้างความสับสนให้กับประชาชน โดยเฉพาะข้อมูลที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยในชีวิตอย่างการฉีดวัคซีน ยกตัวอย่างคำถามล่าสุด ‘Walk in ฉีดวัคซีน’ ได้หรือไม่
ย้อนไปวันที่ 12 พฤษภาคม มติคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ใน 3 รูปแบบคือ นัดผ่านไลน์หรือแอปพลิเคชัน ‘หมอพร้อม’ หรือแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่รัฐบาลจะจัดให้, นัดเป็นกลุ่มองค์กรภาครัฐหรือเอกชน และการ Walk in เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน
ต่อมาวันที่ 18 พฤษภาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า
“เราต้องเร่งฉีดให้ได้ตามเป้า ถ้าคนที่จองแล้วไม่มา หรือมาแล้วไม่ได้ฉีด ก็จะทำให้มีที่ว่าง และอย่างที่เรารู้กันว่าวัคซีนไม่สามารถเก็บไว้ได้ ดังนั้น ก็จะนำส่วนนี้ฉีดให้กับคนที่วอล์กอิน”
ในวันเดียวกันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาชี้แจงว่า “ไม่เห็นด้วยกับแนวทาง Walk in ขอให้ไปปรับปรุงมาก่อน หากประชาชนแห่กันไปในจุดเดียวจะทำให้เกิดความชุลมุนและความวุ่นวายได้ จึงขอให้ยึดหลักลงทะเบียนแอปพลิเคชั่นหมอพร้อมไว้ก่อน ให้คนที่ลงทะเบียนหมอพร้อมและกลุ่มเสี่ยงได้ฉีดก่อน จึงอยากให้หยุดพูดเรื่อง Walk in ไปก่อนจนกว่าจะได้มาตรการที่ชัดเจน”
พร้อมทิ้งท้ายไว้ว่า “ไม่ต้องให้ใครให้ข่าว ให้ ศบค.เป็นคนให้ข่าวแห่งเดียว และอะไรที่ได้ข้อสรุปแล้วถึงค่อยออกมาพูด”
ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า การให้บริการแบบ Walk in ยังไม่ยกเลิก แต่เปลี่ยนเป็นการบริการแบบ On Site Registration คือต้องเช็กก่อนว่าจุดนั้นพร้อมให้บริการหรือเปล่า อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการทรัพยากรหน้างานเป็นหลัก
นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาทางการสื่อสารที่เกิดจาก การเลือกสื่อสารเฉพาะหน้าโดยที่ไม่ได้มองภาพรวม ซึ่งยังไม่รวมถึงการให้ข้อมูลวัคซีนเกินกว่าข้อเท็จจริง ส่งผลให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีน และการบริหารวิกฤตของรัฐบาลชุดนี้
ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องเก็บบทเรียนทั้งหลายไปปรับปรุงการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ ลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและเพิ่มความเชื้อมั่นให้กับภาคประชาชน
ที่มา